วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ชม Aston Martin V12 Vantage S โชว์พลัง 573 แรงม้าในสนามซิลเวอร์สโตน

Aston Martin ส่งวีดีโอโชว์สมรรถนะของซูเปอร์คาร์ที่ว่ากันว่ามีความทรงพลังที่สุดของแบรนด์ อย่าง V12 Vantage S ในสนามซิลเวอร์สโตน



V12 Vantage S สุดสปอร์ตคันนี้ใช้ขุมพลังบิ๊กบล็อก V12 ความจุกระบอกสูบ 6.0 ลิตร รีดพละกำลัง 573 แรงม้า แรงบิด 620 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ภายใน 3.9 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดทำได้มากกว่า 330 กม./ชม.

อัตราเร่งสุดโหดดังกล่าวทำให้ V12 Vantage S เป็นรถที่เร็วที่สุดของ Aston Martin ในเวลานี้ (หากไม่นับรวมรุ่นสุดยอดเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง One-77) ใช้ช่วงล่าง Bilstein ปรับได้สามระดับ ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิกของ Brembo ซึ่งยกทั้งชุดมาจากรุ่น One-77

2014 Aston Martin V12 Vantage S เคาะราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ 138,000 ปอนด์หรือ 179,950 ยูโร แฟนๆ คลิกชมวีดีโอฟังเสียงเครื่องยนต์แนวเริดหรูแบบผู้ดีได้เลย

เผยโฉมหน้า Bugatti Veyron Grand Sport “Meo Costantini” สวยแบบเรโทร

Bugatti เปิดตัว Veyron Grand Sport Meo Costantini รุ่นพิเศษเวอร์ชั่นที่สามในคอลเลกชั่น “Les Légendes de Bugatti” ซึ่งอุทิศให้แก่บุคคลผู้เป็นตำนานของบริษัท



ก่อนหน้านี้ Bugatti เคยเผยโฉม Veyron Grand Sport Vitesse Jean Bugatti และ Jean-Pierre Wimille รุ่นพิเศษมาแล้ว ล่าสุดคือ Veyron Grand Sport Vitesse Meo Costantini คันนี้ซึ่งมีจำนวนการผลิตจำกัดเพียงสามคันในโลกเท่านั้น ผลิตขึ้นเพื่ออุทิศให้ Meo Costantini ตำนานนักแข่งรถของ Bugatti และเพื่อนสนิทของ Ettore Bugatti ผู้ก่อตั้งแบรนด์ไฮเปอร์คาร์จากอิตาลี

Veyron Grand Sport Vitesse Meo Costantini จะมีราคาจำหน่ายสูงถึง 2.09 ล้านยูโร ใช้ขุมพลังระดับซูเปอร์เฮฟวี่เวท W16 สูบ ความจุ 8.0 ลิตร เทอร์โบสี่ลูก ให้พละกำลัง 1,200 แรงม้า แรงบิด 1,500 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ภายใน 2.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 408 กม./ชม.

ไฮเปอร์คารรุ่นพิเศษคันนี้ตกแต่งในสไตล์รถแข่ง Type 35 ในอดีต ใช้สีตัวถังโทนฟ้าแบบรถแข่งคลาสสิกของฝรั่งเศสสลับด้วยพื้นผิวอลูมิเนียมเงาวับ สวยแบบดิบโหด

ภายในห้องโดยสารใช้วัสดุหนังพรีเมียม ตัดเย็บด้วยด้ายสีฟ้าบนหนังสีน้ำตาลสลับฟ้า พร้อมปักลายเซ็นของ Meo Costantini

ถอดรหัส “รถยนต์ขับขี่อัตโนมัติ” โอกาส อุปสรรคและใครคือกลุ่มเป้าหมาย?

ข่าวคราวการพัฒนารถขับขี่อัตโนมัติหรือเทคโนโลยีไร้คนขับปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่หลายคนอาจสงสัยว่าแท้จริงแล้วเทคโนโลยีนี้จะเกิดขึ้นในโลกยานยนต์ได้จริงหรือไม่และกลุ่มเป้าหมายของรถประเภทนี้คือใครกันแน่



สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า รถขับขี่อัตโนมัติจะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าสูงอายุเป็นอันดับแรก ซึ่งคนสูงอายุเป็นกลุ่มประชากรที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นรวดเร็วที่สุดในโลก เหนือกว่าคนทุกช่วงอายุทั้งเด็ก วัยรุ่นและวัยกลางคน

ผู้บริหารระดับสูงของค่ายรถยักษ์ใหญ่สองสัญชาติ General Motors และ Toyota บอกตรงกันว่า ตัวเลขผู้สูงอายุที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น โดยสำนักงานตำรวจแดนปลาดิบระบุว่าเมื่อปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน 4,411 ราย ในจำนวนนี้ 2,264 รายมีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าครึ่งเลยทีเดียว

ดังนั้นการใช้รถขับขี่อัตโนมัติจะช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนลงได้โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและช่วยให้พวกเขา “สามารถเดินทางได้อย่างเป็นอิสระ” Anthony Levandowski หัวหน้าทีมผู้พัฒนาโครงการรถขับขี่อัตโนมัติของ Google กล่าว

กลุ่มคนสูงอายุจะครองตลาดโลก สวนทางกับลูกค้าวัยรุ่น

การวางเป้าหมายรถขับขี่อัตโนมัติซึ่งเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคตไปที่คนสูงอายุ ถือเป็นกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับตัวเลขผลสำรวจอันน่าจับตามองที่ว่า คนรุ่นใหม่มีความสนใจในการซื้อรถน้อยลง โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรปและญี่ปุ่น นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ที่มีใบขับขี่ยังมีจำนวนลดน้อยลงด้วย

บลูมเบิร์กชี้ด้วยว่า ถึงแม้หลายค่ายรถจะมุ่งเน้นการผลิตและทำการตลาดรถเพื่อตอบสนองคนรุ่นใหม่ แต่สุดท้ายแล้วรถดังกล่าวกลับได้รับความสนใจจากคนที่มีอายุมากแทน

มีหลากหลายเหตุผลบ่งชี้ว่าทำไมเทรนด์การซื้อรถยนต์ถึงเป็นเช่นนี้ในประเทศเศรษฐกิจใหญ่ หนึ่งในนั้นคือระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมที่ให้ความสะดวกมากกว่ารถส่วนตัวและแรงกดดันทางเศรษฐกิจซึ่งทำให้เกิดข้อจำกัดในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะหารายได้มาจับจองรถยนต์

ผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า มากกว่า 1 ใน 3 ของคนที่มีอายุน้อยบอกว่าพวกเขาทำงานยุ่งจนไม่มีเวลาไปสอบใบขับขี่ ขณะที่ 1 ใน 5 บอกว่าพวกเขาไม่คิดที่จะเรียนหัดขับรถด้วยซ้ำไป

ขณะที่การศึกษาด้านการตลาดชี้ว่า คนที่เกิดในช่วงปี 1981 – 2000 หรือที่เรียกว่าเจนเนอเรชั่นวาย (Gen Y) ไม่มีแบรนด์รถยนต์อยู่ในความคิดเลยหากให้จัดอันดับแบรนด์ที่ชื่นชอบ โดยพวกเขามักพูดถึงแบรนด์ไลฟ์สไตล์และไอทีอย่าง Google และ Nike แทน

ความท้าทายของระบบขับขี่อัตโนมัติ

สำหรับบริษัทที่กำลังพัฒนารถขับขี่อัตโนมัติมีเพียงไม่กี่แบรนด์ ส่วนใหญ่เอกอุในด้านการพัฒนานวัตกรรม อย่าง General Motors, Toyota, Nissan, Mercedes-Benz, Continental AG, BMW, Volvo, และ Google

Continental AG ระบุว่า รถที่ใช้ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติจะเริ่มเปิดตัวออกสู่ตลาดภายในปี 2016 ขณะที่ระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบจะพร้อมให้ใช้งานในปี 2020 หรือ 2025

ขณะที่ Toyota เพิ่งประกาศแนะนำระบบการสื่อสารระหว่างรถกับรถเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ ส่วน Nissan ได้รับอนุญาตจากทางการญี่ปุ่นให้ทดสอบรถขับขี่อัตโนมัติบนถนนสาธารณะ เตรียมพร้อมสู่การเปิดตัวรถไร้คนขับรุ่นแรกในปี 2020

แต่คำถามคือรถขับขี่อัตโนมัติจะใช้ได้บนถนนจริงหรือ หากพิจารณาจากความสับสนวุ่นวายบนท้องถนนที่ดูแล้วยากยิ่งที่จะพึ่งพาเทคโนโลยีอย่าง 100%

เวบไซต์ Automotive News รายงานว่าหนึ่งในความท้าทายของค่ายรถยนต์ไม่ได้อยู่ที่การพัฒนาตัวรถอย่างเดียว แต่อยู่ที่โครงสร้างพื้นฐานที่จะเอื้อให้เกิดระบบการสื่อสารระหว่างรถกับรถ (vehicle-to-vehicle communication system) ซึ่งเป็นระบบที่มีความสำคัญอย่างมากในการป้องกันไม่ให้เกิดการชนกันระหว่างรถขับขี่อัตโนมัติสองคันหรือหลายคัน

เทคโนโลยีนี้จำเป็นต้องพึ่งพาข้อมูลอันมหาศาลทั้งจากเซ็นเซอร์ในรถและเซ็นเซอร์ที่ติดอยู่บนท้องถนนที่สามารถแลกเปลี่ยนและตรวจจับซึ่งกันและกันได้ผ่านเครือข่ายการสื่อสารไร้สายที่เรียกว่า Dedicated Short-Range Communication

Christoph Hagedorn ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Continental Japan เชื่อว่า การเปลี่ยนถ่ายข้อมูลจะต้องมีขนาดสูงถึง 1GB ต่อหนึ่งนาทีเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าสูงมากกว่าระบบในปัจจุบันจะรองรับได้ถึงแม้จะใช้เครือข่ายความเร็วสูงสุด 4G LTE ก็ตาม

นอกจากนี้ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคอีกมากมาย ทั้งมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ไม่เท่ากันในแต่ละประเทศ ต้นทุนการดูแลรักษาเครือข่ายและเซ็นเซอร์บนท้องถนน รวมถึงปัญหาการฟ้องร้องเป็นคดีความหากรถขับขี่อัตโนมัติเกิดใช้การไม่ได้ขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นของบรรดาวิศวกรชั้นหัวกะทิทั่วโลก ดูแล้วปี 2020 เป็นต้นไปหรืออย่างช้า 2025 เราคงได้ชมรถขับขี่อัตโนมัติวิ่งพล่านไปทั่วกรุงโตเกียวและอีกหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก แต่เมืองไทยคงต้องเฝ้ารอเทคโนโลยีสุดล้ำนี้ไปอีกนานแสนนาน

Auto Import Expo งานมหกรรมรถยนต์นำเข้า ทั้งรถหรู, รถมือ 2 ,รถ Supercar เจอกันสิ้นเดือนนี้

กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เดินหน้าจัดงาน Auto Import Expo มหกรรมยนตรกรรมนำเข้าส่งท้ายปีอีกงาน ระดมค่ายรถยนต์นำเข้าอิสระเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง ยึดพื้นที่อาคารศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ปักหมุดเป็นครั้งแรกของวงการรถยนต์ หลังจากตลาดรถยนต์นำเข้ามีทิศทางดีขึ้น

นายจาตุรนต์ โกมลมิศร์ รองประธานบริหารอาวุโส กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในฐานะประธานการจัดงาน “Auto Import Expo” กล่าวว่า หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากการจัดงานบางกอกอิมพอร์ตคาร์ แอนด์ ยูสคาร์โชว์ เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากค่ายรถยนต์ ผู้ประกอบการและผู้ร่วมเข้าชมงานเป็นจำนวนมาก บริษัทฯจึงจัดงานมหกรรมยานยนต์ระดับประเทศ ขึ้นอีก 1 งาน เน้นเฉพาะรถยนต์นำเข้าที่ตอบโจทย์ความต้องการแบบเอ็กซ์คลูซีฟของผู้ซื้อ เพื่อเป็นการรองรับความต้องการของตลาดในช่วงปลายปีที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก

งานนี้ถือเป็นงานมหกรรมยนตรกรรมนำเข้าระดับคุณภาพที่การันตีการนำเข้าอย่างถูกต้องตามกฏหมาย สามารถจดทะเบียนได้ และเป็นรถนำเข้าที่มีศูนย์บริการหลังการขายเพื่อความสบายใจสำหรับผู้ซื้อ โดยได้ร่วม กับผู้นำเข้าอิสระ พร้อมบูธจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งและการบำรุงรักษารถยนต์มาร่วมกันออกบูธ บนเนื้อที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคาร บี ถนนแจ้งวัฒนะ ซึ่งจุดเด่นของศูนย์ราชการฯ คือ เป็นศูนย์รวมของผู้คนที่หลากหลาย ทั้งข้าราชการที่ทำงานในศูนย์ฯ รวมถึงผู้ที่มาติดต่อราชการ มีทั้งกลุ่ม นักธุรกิจและประชาชนทั่วไป กว่า 30,000 คน/วัน อีกทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย โดยเฉพาะที่จอดรถ สามารถรองรับผู้เข้าชมงานได้จำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดี

ทั้งนี้การจัดงานได้เลือกไว้ในช่วงท้ายของปี เพราะเป็นช่วงของการจับจ่ายใช้สอย หลายคนหาของขวัญ ไว้เพื่อตอบแทนให้ตนเองและครอบครัว อีกทั้งในเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ค่ายรถยนต์ในต่างประเทศจะเปิดตัวรถ โมเดลใหม่ ในปี 2014 รวมถึงรถรุ่นใหม่ที่เป็นพวงมาลัยขวา จึงมองว่าเป็นช่วงจังหวะเหมาะสมที่ทางผู้นำเข้า รถยนต์อิสระจะนำรถยนต์กลุ่มนี้มาโชว์และจำหน่ายในงาน
ในงาน Auto Import Expo ครั้งนี้มีผู้นำเข้ารถยนต์อิสระบางค่ายได้นำเข้ารถยนต์ปี 2014 และพวงมาลัย ขวาประมาณ 7-8 คัน มาร่วมโชว์ในครั้งนี้ด้วย ซึ่งแต่ละรุ่นมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ผู้เข้าร่วมชม

งานจะได้ยลโฉมยนตรกรรมสุดหรูรุ่นใหม่ก่อนใครในงานนี้ และเชื่อว่าแต่ละค่ายที่เข้าร่วมงานพร้อมใจที่จะอัดโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษมากมายให้กับผู้ซื้ออย่างแน่นอน
นายจาตุรนต์ กล่าวปิดท้ายว่า การจัดงานในครั้งนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นตลาด รถยนต์นำเข้าให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากสถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มผู้นำเข้ารถยนต์อิสระมีกระแส ข่าวเกี่ยวกับมาตรการของรถยนต์นำเข้า ทำให้ตลาดรถยนต์นำเข้าชะลอตัวนานไปถึง 6 เดือน แต่ ณ ปัจจุบัน กระแสข่าวนั้นได้มีทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว และงาน Auto Import Expo น่าจะเป็นงานที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ยังคงมีความกังวลต่อข่าวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้กลับมาสนใจรถยนต์ในกลุ่มอีกครั้ง

งาน “Auto Import Expo” จัดขึ้นระหว่างวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน – วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2556 เวลา 10.00 – 20.00 น. สามารถเข้าชมฟรีไม่เสียค่าบัตรผ่านประตู และจัดให้มีพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ ในวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2556 ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคารบี) ถนนแจ้งวัฒนะ

อัตโนมัติทุกอย่าง! บริษัทอเมริกันคิดค้นระบบเติมน้ำมันด้วยหุ่นยนต์

เทคโนโลยีที่ก้าวล้ำอย่างรถขับขี่อัตโนมัติ ให้ทั้งความสะดวกสบายและความปลอดภัยแก่มนุษย์ แต่ขณะเดียวกันยังอาจทำให้เราสั่งสมความขี้เกียจเพิ่มมากขึ้น ยิ่งล่าสุดมีรายงานข่าวว่า บริษัทอเมริกันรายหนึ่งได้เปิดตัวเครื่องเติมน้ำมันอัตโนมัติ ชนิดที่ผู้ขับขี่แทบไม่ต้องขยับตัวใดๆ



ถึงแม้สถานีบริการน้ำมันส่วนใหญ่ในเมืองไทยจะมีพนักงานคอยให้บริการโดยที่คนขับไม่ต้องลงจากรถ แต่ก็มีหลายปั้มที่คนขับต้องลงมาเติมเอง ซึ่งถูกใจหนุ่มๆหลายคนเพราะไม่เพียงจะมีราคาถูกกว่าเล็กน้อย แต่ยังทำให้เราดู “แมน” ขึ้นอีกด้วย แต่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกา เกือบทุกปั้มคนขับต้องเติมน้ำมันเอง

ล่าสุดบริษัทอเมริกัน Husky ได้จับมือกับบริษัทสวีเดน Fuelmatics ทำการคิดค้นหุ่นยนต์ช่วยเติมน้ำมันอัตโนมัติ ออกแสดงให้สาธารณชนได้รับชมกันครั้งแรกที่งานประชุม 2013 Petroleum Equipment Institute (PEI) ในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจียของสหรัฐอเมริกา

Husky เผยว่าหุ่นยนต์ช่วยย่นระยะเวลาการเติมน้ำมันลงได้ราว 30% ลองคลิกชมวีดีโอด้านล่างได้เลย พร้อมกับบอกเราด้วยว่าท่านผู้อ่านมีความเห็นอย่างไรกับระบบอัตโนมัติที่เข้ามาครอบครองไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่มากขึ้นทุกขณะ


วอลโว่เตรียมเปิดตัว วี40 ครอสคันทรี ลุยตลาดรถเล็กจอมลุย

วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) เตรียมเสริมไลน์สินค้าในประเทศไทย ด้วยการเปิดตัวรถเล็กขาลุยอย่าง วี40 ครอสคันทรี ที่จะมาพร้อมตัวถังไซส์กะทัดรัด เครื่องยนต์ขนาดเหมาะสม และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ถอดมาจากรุ่นพี่ทุกกระเบียดนิ้ว



รูปร่างหน้าตาอาจจะไม่แตกต่างจากวี40 ที่ทำการจำหน่ายในประเทศไทยมากนัก แต่ในตลาดโลก ครอสคันทรีจะมีการติดตั้งชุดแต่งให้ดูดุดันมากขึ้นเล็กน้อย ซึ่งรูปร่างและขนาดแทบจะหาความแตกต่างไม่ได้ ยกเว้นแต่สังเกตดีดีจะพบว่ารุ่นนี้จะสูงกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย และมีตำแหน่งการนั่งของผู้ขับที่สูงกว่าเช่นกัน

เครื่องยนต์ที่นำมาติดตั้ง คงหนีไม่พ้นเครื่องยนต์เบนซิน ที5 ขนาด 2.0 ลิตร ที่่ให้พละกำลัง 213 แรงม้าและแรงบิดระดับ 300 นิวตันเมตร ขณะที่เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร จีทีดีไอที่มาพร้อมเทอร์โบนั้น แม้จะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย แต่ในประเทศไทยแล้วอาจจะยังไม่ถึงเวลา


วอลโว่ก็ยังเป็นบริษัทรถยนต์ที่เน้นเรื่องของความปลอดภัยติดตั้งมาเต็มพิกัด ระบบอำนวยความปลอดภัยทุกระบบถูกย่อส่วนและติดตั้งมาในรถคันนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งหากชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็เป็นรถที่น่าสนใจ

ราคาจำหน่ายในรุ่นครอสคันทรีจะแพงกว่ารุ่นมาตรฐานเล็กน้อย เตรียมเงินไว้สัก 2 ล้านก็น่าจะพอสำหรับคันนี้…

วันศุกร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เผย Nismo จะเป็นผู้นำการพัฒนา Nissan GT-R เจนเนอเรชั่นใหม่

ถึงแม้ทุกสายตากำลังจับจ้องไปที่การเปิดตัว 2014 Nissan GT-R Nismo ที่งานโตเกียว มอเตอร์โชว์เดือนพฤศจิกายนนี้ แต่เชื่อว่าแฟนๆ หลายคนมองข้ามช็อตไปถึง GT-R เจนเนอเรชั่นใหม่ที่จะเปิดตัวออกมาในปี 2015 แล้ว



ล่าสุดเวบไซต์ Motoring รายงานว่า Nismo จะรับบทบาทเป็นผู้นำการพัฒนา GT-R เจนเนอเรชั่นใหม่แทนที่จะเป็นฝีมือของ Nissan เหมือนที่ผ่านมา ซึ่ง Andy Palmer รองประธานกรรมการของ Nissan ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข่าวนี้ โดยบอกเพียงว่า “GT-R เป็นรถระดับท็อปไลน์ของ Nissan และ Nismo ถือเป็นรถรุ่นใหม่ จึงเป็นเรื่องเหมาะสมที่ Nismo จะเป็นผู้นำการพัฒนาด้านสมรรถนะ”

หากข่าวนี้เป็นจริง Nismo จะมีงานให้ทำชนิดล้นมือเลยทีเดียวในการพัฒนาซูเปอร์คาร์ที่คนทั้งโลกจับตามอง ขณะเดียวกันอาจทำให้ Nismo สามารถพัฒนารุ่นพิเศษ GT-R Nismo ควบคู่กับรุ่น GT-R สแตนดาร์ดไปพร้อมกันได้

“การสลับให้ Nismo เป็นผู้นำในการพัฒนาจะทำให้พวกเขาสามารถสร้างดีเอ็นเอรถแข่งได้ตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว” Palmer กล่าว

สำหรับสเปกของ 2016 Nissan GT-R ยังคงไม่ชัดเจน แต่รายงานข่าวก่อนหน้านี้เน้นย้ำว่าจะใช้ขุมพลังไฮบริดเทคโนโลยีรถแข่ง Williams F1 พร้อมด้วยระบบสตาร์ท-หยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติและเทคโนโลยีหยุดการทำงานลูกสูบครึ่งหนึ่งเมื่อขับรอบเดินเบาเพื่อเพิ่มความประหยัดน้ำมัน

สุดมันส์! BMW M3 E92 ไล่กวด Nissan GT-R ในเนอร์เบิร์กริง

มีวีดีโอรถซิ่งมันส์ๆมาให้ชมกันอีกแล้ว คราวนี้เป็นรถสปอร์ตคูเป้ BMW M3 ไล่กวดซูเปอร์คาร์ Nissan GT-R ในสนามเนอร์เบิร์กริงแห่งเยอรมนี



การประลองความเร็วในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดย M3 สามารถเกาะติด GT-R ได้อย่างน่าปรบมือให้ รถสปอร์ตคูเป้จากเยอรมันคันนี้ได้รับการโมดิฟายด์เพิ่มเติมหลายส่วน อย่างท่อไอเสียไทเทเนียม Akrapovic ช่วงล่าง Schirmer ระบบเบรกของ AP เบาะ Recaro และโรลเคจนิรภัย

ผู้ที่โหลดวีดีโอชุดนี้ขึ้นบนเว็บไซต์ Youtube บอกด้วยว่า GT-R มีพละกำลังมากถึง 620 แรงม้า ซึ่งเหนือกว่า M3 ที่มีพละกำลัง 420 แรงม้าอย่างเทียบกันไม่ได้ อย่างไรก็ตาม GT-R ขับเคลื่อนสี่ล้อกลับไม่สามารถฉีกหนี M3 ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังได้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการจราจรที่ค่อนข้างคับคั่งในสนาม


เปิดตัวจริง 2014 Honda Odyssey เจนเนอเรชั่นที่ห้า บุกตลาดแดนปลาดิบ

2014 Honda Odyssey สเปกญี่ปุ่น เจนเนอเรชั่นที่ห้าได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว มาพร้อมกับประตูสไลด์เป็นครั้งแรก แถมยังมีระดับเพดานที่สูงขึ้น พื้นรถเตี้ยกว่าเดิมและมีพื้นที่ในห้องโดยสารอันกว้างขวางกว่ารุ่นก่อนหน้า

2014 Odyssey แบ่งออกเป็นสองเวอร์ชั่นคือ Odyssey รุ่นสแตนดาร์ดและ Odyssey Absolute ซึ่งดูโดดเด่นดุดันยิ่งขึ้นด้วยการตกแต่งพิเศษรอบคัน โดยเฉพาะกระจังหน้า กรอบไฟตัดหมอก เส้นสายโครเมียมและบั้นท้ายที่มีดีไซน์แตกต่างออกไปเล็กน้อย

ทั้งสองเวอร์ชั่นใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร i-VTEC เทคโนโลยีสุดล้ำ Earth Dreams โดย Odyssey รุ่นสแตนดาร์ดส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT มีพละกำลังอยู่ที่ 175 แรงม้า (PS) แรงบิด 225 นิวตันเมตร

สำหรับรุ่น Odyssey Absolute จะติดตั้งหัวฉีดไดเรคอินเจคชั่นและระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ 7 สปีด พร้อมแป้น paddle shift ที่พวงมาลัย ให้พละกำลัง 190 แรงม้า (PS) แรงบิด 237 นิวตันเมตร อัตราบริโภคน้ำมันอยู่ที่ 11.6 – 14 กม./ลิตร แล้วแต่สไตล์การรขับขี่

มิติตัวถังของ Honda Odyssey รุ่นใหม่มีความยาว 4,830 มม. กว้าง 1,800 มม. และสูง 1,700 มม. ระยะฐานล้อ 2,900 มม. น้ำหนักตัวถังอยู่ระหว่าง 1,700 – 1,830 มม.


สำหรับ Odyssey เวอร์ชั่นสแตนดาร์ดที่จำหน่ายในญี่ปุ่นจะมีรุ่นย่อย B, G และ G EX ขณะที่ Odyssey Absolute มีเฉพาะรุ่นท็อปไลน์ EX ใช้ระบบขับเคลื่อนทั้งแบบสองล้อหน้าและสี่ล้อ ขณะที่ล้ออัลลอยและยางมีตั้งแต่ขนาด 215/60 R16, 215/55 R17 และ 225/45 R18 ตามแต่รุ่นย่อย

Honda ยังใส่ใจในทุกรายละเอียดด้วยการมีอ็อปชั่นเก้าอี้พิเศษสำหรับผู้พิการ ซึ่งจะปรับด้วยระบบไฟฟ้าตั้งแต่ด้านนอกตัวรถและยกเข้าไปด้านในห้องโดยสารได้อย่างสะดวกสบาย

ช่วงล่างดับเบิลวิชโบนทั้งสี่ล้อของรุ่นเดิมถูกเปลี่ยนเป็นแบบแมคเฟอร์สัน สตรัทที่ล้อคู่หน้าและทอร์ชั่นบีมที่ล้อหลังในรุ่นใหม่ ซึ่งช่วยลดน้ำหนักตัวรถลงได้มากทีเดียว

เปิดสเปกยาริส อีโคคาร์ ตัวใหญ่กว่าด้วยหัวใจ 1.2 ลิตร

เป็นที่แน่นอนแล้วว่าในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ชาวไทยจะได้สัมผัสตัวเป็น ๆ ของรถยนต์ในโครงการรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) จากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เสียที หลังจากที่คู่แข่งต่างก็ทยอยเปิดตัวกันมาแล้วก่อนหน้านี้ทั้งหมด



ถามว่าโตโยต้าทำไมเปิดตัวช้าจัง ก็ต้องย้อนกลับไปในอดีตที่โตโยต้าเองเป็นค่ายรถรายสุดท้ายที่กระโดดเข้าร่วมโครงการดังกล่าว หลังจากทำท่าเหมือนจะไม่อยากเข้าร่วมในตอนแรก แต่ในที่สุดก็กลัวตกขบวน และมาปรากฎชื่อว่าสนใจโครงการในช่วงเกือบจะสุดท้ายของการรับสมัคร

หลังจากที่สามารถหักล้างประเด็นเรื่องขนาดของตัวรถที่จะเข้าโครงการได้ ก็มีกระแสข่าวลือว่าโตโยต้าเองพร้อมที่จะปรับรถยนต์แฮชท์แบ็กที่ทำตลาดอยู่ในประเทศไทยอย่างยาริสใหม่ เข้ามาสวมเครื่องยนต์ขนาดเล็กตามข้อกำหนด และใช้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี

ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใจอะไร เพราะหลังการเปิดตัวยาริสรุ่นใหม่ในประเทศจีน ซึ่งแม้จะใช้เครื่องยนต์ 1.3 1และ 1.5 ลิตร ถือว่ามีความใกล้เคียงในการนำมาปรับเป็นรถยนต์อีโคคาร์ในประเทศไทยมากที่สุดแล้ว

ล่าสุด มีข่าวแว่วมาแล้วว่ารถยนต์อีโคคาร์ที่จะนำมาทำตลาดในบ้านเราก็หนีไม่พ้นหน้าตาพิมพ์เดียวกับยาริส แอลทุกประการ เพียงแต่เครื่องยนต์ที่นำมาใช้จะเป็นเครื่องยนต์ 1.2 ลิตร ขนาด 86 แรงม้า และมาพร้อม 4 รุ่นย่อยให้เลือก ซึ่งที่น่าแปลกคือ ไม่มีรุ่นเกียร์ธรรมดาให้เลือกแต่อย่างใด



จุดขายที่สำคัญของยาริสใหม่ ก็คือขนาดห้องโดยสารที่กว้างและยาวที่สุด เมื่อเทียบกับกลุ่มอีโคคาร์ แฮชท์แบ็กด้วยกัน และยังพาลไปใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับรถยนต์แฮชท์แบ็กในกลุ่มบี-เซกเมนต์ ขณะที่หน้าตาได้รับการออกแบบมาให้มีความสปอร์ตในคราบของรถยนต์เล็กเลยทีเดียว

วางจำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมด 4 เกรด ตามรายงานที่ได้มาคือเป็นรุ่นเกียร์อัตโนมัติซีวีทีทั้งหมด ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะมีเซอร์ไพร์สอะไรอีกหรือไม่ โดยเกรดต่ำสุดจะใช้ชื่อว่า J ECO สำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องงบประมาณ ขณะที่เกรดถัดมาอย่าง J และ E จะเพิ่มออพชั่นต่าง ๆ มากขึ้น และรุ่นท๊อปจะเป็นรุ่น G ซึ่งมีอุปกรณ์ครบครัน รวมไปถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ รอบคันรถ

มิติตัวถังภายนอก ยาว 4,115 มม. กว้าง 1,700 มม. และสูง 1,475 มม. มีความกว้างฐานล้อ 2,550 มม. เครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์รหัส 3NR-FE ขนาด 1,197 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 86 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และให้แรงบิดสูงสุด 108 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที โดยสามารถรองรับเชื้อเพลิงอี20 ได้ และตัวรถมาพร้อมถังน้ำมัน 42 ลิตร

อุปกรณ์พื้นฐานมีมาให้มากพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นถึงลมเสริมความปลอดภันคู่หน้า พวงมาลัยไฟฟ้าแบบปรับระดับสูง-ต่ำได้ ระบบป้องกันล้อล็อก ระบบกระจายแรงเบรกและระบบเสริมแรงเบรก มาพร้อมแผงคอนโซลหน้าสีเงินเข้ม เบาะผ้าสีดำ และยางอะไหล่แบบกระทะขอบ 14 นิ้ว

รุ่นท๊อปมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วและยางขนาด 185/60/R15 ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถพับไฟฟ้า คิ้วฝากระโปรงท้ายและมือจับแบบโครเมียม ระบบ Push Start และ Smart Entry พวงมาลัยแบบ 3 ก้านพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ และจอแสดงข้อมูลการขับขี่

อุปกรณ์จะลดหลั่นกันลงไปเรื่อย ๆ ในรุ่น E จะเปลี่ยนมาใช้ล้อกระทะขนาด 15 นิ้ว และลดเป็นล้อกระทะ 14 นิ้วในรุ่นล่างทั้ง 2 รุ่น รวมถึงตัดออพชั่นบางตัว เช่น กระจกมองข้างพับด้วยไฟฟ้าออก ซึ่งดูแล้ว หากต้องการใช้งานเป็นหลักก็อาจจะไม่ต้องไปถึงตัวท๊อปก็ได้ เพราะอุปกรณ์พื้นฐานก็ถือว่ามีมาอย่างครบครัน


สำหรับสีภายนอกของตัวถังนั้น มีมาให้เลือกถึง 7 สี และมีสีใหม่เอี่ยมมากถึง 3 สี ประกอบไปด้วย สีฟ้า Frozen Blue Metallic สีส้ม Orange Metallic และสีแดง Red Mica Metallic ส่วนสีมาตรฐานอีก 4 สี ก็ประกอบไปด้วยสียอดนิยมอย่าง สีขาว Super White สีบรอนด์เงิน Silver Metallic สีเทา Gray Metallic และสีดำ Attitude Black Mica

BMW เรียกคืนรถเครื่องเบนซิน 2.0 ลิตรทั่วโลก 176,000 คันจากปัญหาระบบเบรก

BMW ประกาศเรียกคืนรถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ รวมทั้งหมด 176,000 คันในหลายประเทศทั่วโลก หลังพบปัญหาระบบเบรกที่อาจเกิดอันตรายในการใช้งาน



ยักษ์เยอรมันประกาศการเรียกคืนเมื่อวันพุธที่ผ่านมา หลังพบว่ารถที่ใช้ขุมพลังเบนซิน 2.0 ลิตรมีการติดตั้งปั๊มหล่อลื่นสุญญากาศที่บกพร่อง ซึ่งถ้าหากตัวปั๊มดังกล่าวเกิดเสียขึ้นมา ระบบเบรกจะสูญเสียพลังในการชะลอรถ

อย่างไรก็ตาม โฆษกของ BMW ยืนยันกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ปัญหานี้ไม่ได้ทำให้ระบบเบรกเสียจนใช้ไม่ได้ แต่ผู้ขับขี่จะสูญเสียแรงเบรกและต้องออกแรงเหยียบเบรกมากกว่าปกติถึงจะสามารถชะลอเพื่อหยุดรถ

มีรถ BMW หลายรุ่นที่ครอบคลุมการเรียกคืน ไม่ว่าจะเป็น 2012-2014 320i, 328i, 320i xDrive, 328i xDrive ซีดาน, 2014 328i xDrive Sports Wagon, 2012 และ 2013 528i และ 528i xDrive ซีดาน, 2013 และ 2014 X1 sDrive28i และ X1 xDrive28i รวมถึงรถสปอร์ตโรดสเตอร์ 2012-2014 Z4 sDrive28i

รายงานข่าวระบุว่า การเรียกคืน 76,000 คันอยู่ในสหรัฐอเมริกา 25,000 คันในประเทศจีน 9,376 คันในแคนาดาและ 6,841 คันในเยอรมนี ส่วนที่เหลือกระจายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก

BMW จะแจ้งให้ลูกค้าทราบเป็นรายบุคคลในเดือนพฤศจิกายนนี้ สำหรับการซ่อมแซมจะเริ่มในเดือนธันวาคม

2013 Audi Sport Quattro Concept รถสปอร์ตต้นแบบอวดโฉมความหล่อ

เฟซบุ๊ค Audi AG ส่งวีดีโอโปรโมท 2013 Sport Quattro Concept รถสปอร์ตคูเป้เวอร์ชั่นต้นแบบให้แฟนๆได้ยลโฉมกันอย่างเต็มตา ในโอกาสเฉลิมฉลองแฟนเพจครบ 100,000 คน


2013 Sport Quattro Concept เปิดตัวครั้งแรกที่งานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์เมื่อเดือนที่แล้ว ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากรถต้นแบบในปี 2010 และสะท้อนรูปลักษณ์สุดโมเดิร์นของรถสปอร์ตรุ่นแรกเริ่มอย่าง 1984 Sport Quattro

ขุมพลังขับเคลื่อนของ 2013 Sport Quattro Concept เป็นแบบปลั๊กอินไฮบริด ใช้บล็อก V8 ความจุกระบอกสูบ 4.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ 8 สปีด ให้พละกำลังสูงสุด 700 แรงม้า แรงบิด 800 นิวตันเมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ภายใน 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม.

น้ำหนักตัวถังอยู่ที่ 1,850 กก. ซึ่งมากกว่ารถต้นแบบเมื่อปี 2010 ถึงกว่า 500 กก.เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม รุ่นปี 2013 มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เร็วกว่าอยู่ 0.2 วินาที

แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่ติดตั้งอยู่ใน 2013 Sport Quattro Concept มีขนาด 14.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถโลดแล่นได้ด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆได้ระยะทาง 50 กม. อัตราบริโภคน้ำมัน 40 กม./ลิตร ปล่อยมลพิษไอเสียเพียง 59 กรัม/กม.

เกาะติด Ducati 1199 Superleggera จ่อเปิดตัวที่งาน EICMA 2013 ในมิลานสัปดาห์หน้า

Ducati เตรียมเปิดตัว 1199 Superleggera ซูเปอร์ไบค์ที่เพียบพร้อมด้วยอีกระดับของเทคโนโลยีและระบบวิศวกรรมที่เหนือชั้นที่สุดในเวลานี้ที่งาน EICMA 2013



แน่นอนว่าถ้าหากซูเปอร์คาร์อย่าง Lamborghini จะมี Superleggera (ภาษาอิตาเลียนแปลว่า น้ำหนักเบา) ได้ แล้วทำไม Ducati จากแดนมะกะโรนีเหมือนกันจะมีไม่ได้ สำหรับ 1199 Superleggera คันนี้ใช้วัสดุไทเทเนียม แม็กนีเซียมและคาร์บอนไฟเบอร์ผสมผสานกันซึ่งถือเป็นครั้งแรกในอุตสาหกรรมรถสองล้อสมรรถนะสูง

1199 Superleggera จะมาพร้อมน้ำหนักตัวเพียง 155 กรัมเท่านั้น เมื่อขับเคลื่อนด้วยขุมพลังระดับ 200 แรงม้าจึงถือเป็นซูเปอร์ไบค์ที่ “ถ่ายทอดสมรรถนะในแบบอิตาเลียนขนานแท้” จากคำนิยามของ Ducati

ซูเปอร์ไบค์ 1199 Superleggera ถูกเปิดเผยภาพชุดแรกผ่านทางเวบไซต์ ถึงแม้จะยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่มีรายงานว่า 75% ของยอดจำนวนการผลิตทั้งหมด 500 คันถูกจับจองเรียบร้อยแล้ว

เราจะได้รับชมภาพและข้อมูลฉบับเต็มของ Ducati 1199 Superleggera ที่งาน EICMA 2013 จากเมืองมิลานในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ โปรดติดตาม