วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นั่งขับรถอย่างถูกวิธี ต้องนั่งอย่างไร ฟังจากผู้เชี่ยวชาญ


       ตั้งแต่ขับรถมานี่ก็เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ได้ความรู้ดีๆ จนต้องนำมาแบ่งปันเพื่อนๆ หลังจากที่เราเองก็อาจจะผิดมาตั้งนานเกี่ยวกับการขับรถ ซึ่ง จะว่าหลายคนก็คงไม่ทราบว่า การขับรถนั้นยังมีวิธีนั่งที่ถูกต้อง
                ในงานทดสอบรถยนต์จากค่ายรถยนต์เมอร์เซเดส ล่าสุด เราได้รับความรู้ดีจากผุ้เชี่ยวชาญตัวจริงจากงานเมอร์เซเดสเบนซ์ ที่มาบอกเล่าเก้าสิบเกี่ยวกับท่านั่งขับ ที่หลายคนอาจจะคิดว่าท่านั่งขับขี่สบายๆเอาจับถนัดขับยังไงก็ได้ แต่ที่จริง มันผิดมหันต์ และส่งผลต่อการทำงานของระบบความปลอดภัยด้วย
นานทีจะมีของจริงอย่างนาย Elliot Barbour นักขับ รถแข่งสายเลือดจิงโจ้ จากรายการ  V8 Super Car  ที่กล่าวอย่างจริงจังว่า เขาเป็นห่วงเรื่องท่านั่งขับขี่ของคนจำนวนมาในสมัย นี้ ส่วนใหญ่พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าที่นั่งขับขี่ นั้น สบายๆอะไรก็ได้ รวมถึง บางคนถึงกับนอนขับด้วยความเข้าใจผิดจากท่านั่งในกีฬาแข่งรถ
เอเลียตบอกว่า การขับขี่รถยนต์นั่นต้องนั่งให้ถูกต้อง ซึ่งสามารถช่วยรถอาการบาดเจ็บได้ จากการเกิดอุบติเหตุ และมันยังช่วยรักษาชีวิตด้วยโดยเฉพาะระบบรักษาความปลอดภัยนั้นจะทำงานได้ถูกต้องและมีประสิทธฺภ่พยิ่งขึ้น ซึ่งเอเลียต บอกว่าการปรับนั้นง่ายมาก และมี  4  ขั้นตอน

 เท้าและเข่า ขั้นแรกของการนั่งย่างถูกวิธี ต้องเริ่มจากเท้าและเข่าเพราะ  ว่า เข่าเป็นส่วนที่จะบาดเจ็บได้มากที่สุด เมื่อเกิดการกระเทก เอเลียตบอกว่าในสนามแข่ง ถ้านั่งไม่ถูกต้อง เข่าที่รับแรงกระแทกจากการชนในสนามนั้น จะทำให้ข้อเข้ารับแรงอย่างรุ่นแรง และอาจจะพิการได้
เริ่มแรก จึงต้องเริ่มจากเข่า โดยการสอดเท้า เข้าไปที่พื้นรถหลังแป้นเบรก จากนั้นปรับเข้าออกให้พอดี โดยเข่าต้องอยู่ในลักษณะที่งอได้ เล็กน้อยถือว่าโอเค เอเลี่ยตกล่าวถึงเหตุผลว่า ที่ต้องสอดเข้าไปใต้แป้นเพราถ้าคุณชนแรง แป้นเบรกจะยุบตัวลงไปชนพื้น ซึ่งมีบางที่ไว้บนแป้นนั้นก็ยังผิดยู่ เพราะจังหวะงออาจจะได้ แต่คุณจะรู้สึกว่าไกลอยู่ดี
แผ่นหลัง เมื่อได้ขาแล้ว คุณก็มาปรับช่วงหลังของคุณ ให้พอดี ซึ่งมันจะพอดี โดยการที่คุณ เอาข้อมือไปวางบนพวงมาลัย เพื่อปรับช่วงหลังให้ลงตัว โดยเบาะอาจจะเอนเล็กน้อยหรือตั้งตรง เอเลียตบอกไม่ใช่ปัญหามากนัก แต่อย่าเอนจนเหมือนนอนขับจะไม่ดี บางคนมักเข้าผิดอย่างแรงจากท่านั่งของคนขับรถแข่ง ซึ่ง ความจริงก็มีการปรับลักษณะนี้เช่นกัน

ตำแหน่งพวงมาลัย ประการต่อตำแหน่งพวงมาลัยเองก็มีความสำคัญไม่แพ้กันในการให้รายละเอียดที่ดีในการขับขี่ ซึ่งสามารถปรับตั้งโดย ในตรงนี้ให้วางมือที่ตำแหน่ง  3 และ  9 นาฬิกา จากนั้นดูช่วงงอของแขน ซึ่งไม่ควรจะตึงเกินไปและไม่ควรมีชาวงพับข้อมากเกินไป เพราะ ทั้งสอง จะทำให้คุณหมุนพวงมาลัยไม่ถนัด ซึ่งตรงนี้ให้แก้ไขที่พวงมาลัยและหรือ การปรับที่นั่งสูงต่ำอาจจะช่วยได้
อย่าลืมหมอนรองคอ ท้ายสุด เอเลียตบอกว่า คนมักลืมหมอนรองคอที่ช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการกระแทก ซึ่งความปรับให้อยู่กลางศีรษะด้วย และเขาย้ำว่าข้อนี้สำคัญมาก

ถึงการปรับเบาะจะฟังดูไม่ยาก แต่เอเลียตบอกว่า มีคนจำนวนมากเข้าใจผิดและนั่งขับขี่ไม่ถูกต้อง หลายคนมีคำถามมากมายในใจเช่นว่า นั่งขับรถต้องเห็นกระโปรงหน้าแบบเมื่อก่อนไม่ใช่ ซึ่งเอเลียตบอกว่า การนั่งขับขี่รถยนต์นั้น สำคัญไม่ได้อยู่ที่คุณเห็นอะไรบ้างแต่อยู่ที่ว่า เมื่อนั่งแล้วคุณมีสมาธิต่อการขับขี่และสบายตัว หรือเปล่า เท่านั้นเอง ..

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Alfa Romeo โชว์ห้องโดยสารรถสปอร์ต 4C คอนเฟิร์มแรงม้า 240 ตัว


Alfa Romeo เปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคเบื้องต้นของรถสปอร์ตรุ่นใหม่ 4C พร้อมกับโชว์ภาพในห้องโดยสารเป็นครั้งแรก ก่อนหน้าการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ ช่วงกลางสัปดาห์หน้า

4C ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง 4 สูบ ความจุ 1,750 ซีซี ผลิตพละกำลัง 240 แรงม้า ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ TCT คลัตช์แห้งแบบสองแผ่น ความยาวตัวถังน้อยกว่า 4 เมตร ระยะฐานล้ออยู่ที่ 2.4 เมตร สูง 1.18 เมตรและกว้าง 2 เมตร
ตัวถังแบบโมโนค็อกของ 4C ผลิตด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ Alfa Romeo เคยประกาศแล้วว่าสัดส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าอยู่ที่ 4 กก.ต่อ 1 แรงม้า นั่นหมายความว่า 4C จะมีน้ำหนักตัวเพียงแค่ 960 กก.เท่านั้น
แบรนด์รถสุดหรูจากอิตาลียังเปิดเผภาพในห้องโดยสารสไตล์เรียบหรู พร้อมกับระบุว่าเป็นการออกแบบที่เน้น “ความพึงพอใจในการขับขี่สูงสุด” ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ในหลายส่วน ขณะที่เบาะที่นั่งผลิตจากวัสดุผสมคอมโพสิต ส่วนแผงแดชบอร์ดมีดีไซน์เรียบง่าย

MICHELIN Best in the race, Best on the road


สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการแข่งขันรถยนต์และคอยติดตามความเคลื่อนไหวในวงการ Motorsport เรื่อยมา คงรู้ว่า MICHELIN แบรนด์ยางรถยนต์ระดับโลกนั้นได้คลุกคลีอยู่ในวงการนี้มายาวนานกว่า 2 ศตวรรษ มีส่วนร่วมการแข่งขันต่างๆในวงการ Motorsport หลากหลายประเภท แต่ที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือทำไม MICHELIN ถึงเข้าร่วมการแข่งขันต่างๆมาโดยตลอด
MICHLEIN ใช้เวที Motorsport เสมือนสนามทดลอง พัฒนายางรถยนต์เพื่อนำไปใช้บนถนนจริง (Proving ground) เป็นพื้นที่ในการเรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่มองหา ยางสมรถถนะดี ให้ความสุนทรีย์ในการขับ และยังคงความปลอดภัยได้ และไม่ใช่แค่เข้าร่วมการแข่งขันต่างเท่านั้น แต่ MICHELIN ยังเป็นที่ยอมรับของคนในวงการ Motorsport ในเรื่องความเก่งกาจและความสามารถของยางที่คว้าชัยชนะได้มากกว่า 150 ครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น เวที Le mans 24 Hrs. ที่เข้าแข่งขันตั้งแต่ปี 1923 คว้าชัยชนะได้ทั้งหมด 19 ครั้ง, เวที Formula One เข้าร่วมถึง 14 ปี ได้รับชัยชนะถึง 102 ครั้ง และเป็นแชมป์โลกถึง 9 สมัย เวที WRC คว้าแชมป์ไปทั้งหมด 38 ครั้ง สะท้อนให้เห็นว่า MICHELIN ไม่ใช่แค่เข้าร่วมการแข่งขันเพื่อประสบการณ์แต่ยังสามารถคว้าชัยชนะและสร้างคุณค่าให้กับตัวเองได้อีกด้วย ที่สำคัญ ทุกรายการที่ MICHELIN เข้าร่วม ต้องเป็นรายการที่เปิดให้ใช้ยางที่แตกต่างกันเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่า ยางของ MICHELIN ให้สมรรถนะที่ดีกว่าคู่แข่งหรือไม่


หากพูดถึงเวทีที่ MICHELIN ประสบความสำเร็จที่สุดคงเป็นการแข่งประเภท Endurance racing อย่าง Le mans 24 Hrs. ที่จัดว่าเป็นการแข่งที่หนักที่สุดในเวที motorsport และต้องการสมรรถนะของยางที่เป็นเยี่ยมในทุกด้านและยังคงสมรรถภาพนั้นไว้ได้ตลอดการแข่ง เรื่องการเกาะถนน การประหยัดน้ำมัน และ การใช้งานที่ยาวนาน เป็น 3 สิ่งสำคัญในการแข่งแบบนี้ การคว้าแชมป์ได้ถึง 19 ครั้ง จึงเป็นหลักฐานอันดีว่า MICHELIN ยอดมีความยอดเยี่ยมในสมรรถนะ ทั้ง 3 นี้มากแค่ไหน จนสามารถนำประสบการณ์มาพัฒนายางที่ใช้ในท้องถนนจริง เป็นสูตรเนื้อยาง ‘Sport Power Compound’ ที่มี Wet Grip Elastomer ช่วยเพิ่มการยึดเกาะในทุกพื้นผิว และสูตรเนื้อยางพิเศษที่ถ่ายทอดมาจากสนามแข่งโดยตรง มีอยู่ใน MICHELIN Pilot Super sport
ด้วยประสบการณ์และชัยชนะบนเวที Motorsport มากมาย บวกกับความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่ท้องถนน ทำให้ผู้รักการขับขี่มั่นใจได้ว่าการเลือกใช้ยาง MICHELIN จะเติมเต็มความต้องการในการขับรถของคุณและสร้างสุนทรีย์ให้คุณเสมือนได้ขับรถแบบนักแข่งมืออาชีพแน่นอน

ขาโหด Hennessey ซุ่มโมดิฟายด์ Corvette Stingray ตั้งเป้า 1,000 แรงม้า


Hennessey Performance Engineering (HPE) สำนักแต่งสัญชาติอเมริกันเปิดเผยบิ๊กโปรเจ็คต์ใหม่ในการโมดิฟายด์รถมัสเซิลคาร์รุ่นล่าสุด 2014 Chevrolet Corvette Stingray ให้มีความแรงระดับ 1,000 แรงม้า

HPE ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเท็กซัสเตรียมนำเสนอชุดอัพเกรดสมรรถนะของ Corvette Stingray ทั้งเวอร์ชั่นคูเป้และเปิดประทุนคอนเวอร์ทิเบิล โดยแพ็คเกจแรกพ่วงระบบซูเปอร์ชาร์จเจอร์ ผลิตพละกำลังมากกว่า 700 แรงม้า ส่วนแพ็คเกจที่สองติดตั้งระบบอัดอากาศทวินเทอร์โบ ให้แรงม้าสูงสุดมหาศาลถึง 800 – 1,000 ตัว ซึ่งถือว่าก้าวกระโดดจากเครื่องยนต์สแตนดาร์ดบล็อก V8 รหัส LT1 ความจุ 6.2 ลิตรซึ่งให้พละกำลัง 450 แรงม้าเท่านั้น
Hennessey ยังมีแผนการนำเสนอชุดอัพเกรดย่อยอีกหลากหลายรูปแบบ ทั้งระบบหล่อเย็นใหม่ ระบบไอเสียชุดใหม่และเฮดเดอร์แบบท่อยาวสแตนเลส แน่นอนว่าย่อมมาพร้อมกับช่วงล่างปรับแต่งเป็นพิเศษ เบรกสมรรถนะสูงกว่าเดิม ตลอดจนล้อและยางที่ได้รับการอัพเกรดขนานใหญ่
2014 Chevrolet Corvette Stingray จะออกจำหน่ายจริงในช่วงไตรมาสสามของปีนี้ ดังนั้นเวอร์ชั่น 1,000 แรงม้าของ Hennessey คาดว่าจะคลอดตามออกมาในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนั้น

ใหม่ Toyota Corolla Altis TRD Sportivo ราคา 8.89 แสนบาท เพียง 3,200 คัน


บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด แนะนำรถยนต์นั่งรุ่นยอดนิยมCorolla Altis TRD Sportivo (โคโรลล่า อัลติส ทีอาร์ดี สปอร์ติโว) ใหม่ มีพื้นฐานมาจาก โคโรลล่า อัลติส รุ่น 1.8E โดยนำมาติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งในสไตล์สปอร์ต เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบดีไซน์ที่โดดเด่น เร้าใจ ไม่เหมือนใคร ทั้งภายนอก และภายในห้องโดยสาร มีจำนวนจำกัด เพียงแค่ 3,200 คัน เท่านั้น

New Corolla Altis TRD Sportivo
ภายนอก ดีไซน์สปอร์ตสุดล้ำสมัย
- ชุดไฟหน้า ฮาโลเจน พร้อมไฟท้าย LED แบบรมดำ เพิ่มความโฉบเฉี่ยวตั้งแต่ไฟหน้าจรดไฟท้าย
- ชุดสเกิร์ตรอบคัน พร้อมสปอยเลอร์หลังที่ได้รับการออกแบบเฉพาะรุ่น เพิ่มความโดดเด่นแบบสปอร์ต
- ไฟตัดหมอกหน้า ให้ความปลอดภัยในทุกการขับขี่
- ล้ออัลลอยแบบสปอร์ต TRDพร้อมยางขนาด 205/55 R16 โดดเด่นในทุกมุมมอง
- ปลายท่อไอเสียสแตนเลส…ให้ลุคที่สปอร์ตอย่างลงตัว
- สัญลักษณ์และสติ๊กเกอร์รุ่นพิเศษ “TRD Sportivo” ความเท่ห์ในแบบที่แตกต่าง
2013-Toyota-Corolla-Altis-TRD-02
ภายในที่เข้ม เต็มความแรงในทุกองศา
- พวงมาลัยหุ้มหนัง สไตล์สปอร์ต 3 ก้าน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียง ให้ความสะดวกสบายในการขับขี่
- หัวเกียร์หุ้มหนังเดินด้ายสีส้มพร้อมฐานเกียร์ขอบสีส้ม ที่เสริมความโฉบเฉี่ยวให้ดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้น
- เบาะหนังสลับผ้าแบบสปอร์ต สีเทาดำ พร้อมพรมปูพื้นลายพิเศษ TRD Sportivo บ่งบอกเอกลักษณ์สไตล์สปอร์ตเฉพาะตัว
- แผงคอนโซลหน้าและด้านข้างประตูสีเมทัลลิก และเปียโนแบล็ค ให้ความสปอร์ต หรูหรา มีระดับ
- เครื่องเล่น DVD/CD/MP3/WMA พร้อมหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับระบบ Bluetooth ช่องเสียบอุปกรณ์ USB และ Smart G-Book เพลิดเพลินในทุกการเดินทาง
โดดเด่น ด้วย 2 สี ที่สะกดทุกสายตา
- สีขาว (Super White)
- สีดำ (Attitude Black Mica )
Corolla Altis TRD Sportivo ใหม่ ราคา 889 ,000 บาท (ราคารวมเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่ม)
สัมผัส โคโรลล่า อัลติส ทีอาร์ดี สปอร์ติโว ใหม่ ที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า 364 แห่งทั่วประเทศ

Nissan เผยโฉม Teana รุ่นปรับเล็กปี 2014 เตรียมออกสู่ตลาดจีนเดือนหน้า


Nissan Teana รุ่นปรับไมเนอร์เชนจ์ปี 2014 ได้รับการเผยโฉมก่อนหน้าการเปิดตัวออกสู่ตลาดประเทศจีนอย่างเป็นทางการในเดือนหน้า

รูปลักษณ์ภายนอกดูหล่อเนี๊ยบมากกว่ารุ่นเดิม 2014 Teana หรือในตลาดสหรัฐอเมริกาใช้ชื่อรุ่นว่า Altima มาพร้อมกับกรอบไฟและกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ นอกจากนี้ ยังถูกแต่งเติมเส้นสายให้เฉียบคมยิ่งขึ้น รวมถึงการตกแต่งด้วยโครเมียมและกรอบไฟท้ายแนวยาว
เสียดายที่ภาพห้องโดยสารเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่คาดว่าจะใช้เบาะหุ้มหนังเกรดพรีเมียม พร้อมฟีเจอร์ Zero Gravity ที่การันตีว่าไม่มีเมื่อยแม้นั่งขับขี่ทางไกล นอกจากนี้ยังตกแต่งด้วยเมทัลลิกและไม้สีเข้ม รวมถึงการติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนท์
เครื่องยนต์เป็นบล็อก QR25DE ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติแปรผันต่อเนื่อง Xtronic ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางเทคนิค แต่ Nissan ระบุว่า ขุมพลังขับเคลื่อนบล็อกนี้ “ให้อัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจและประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม”

ดุดันแฝงความหรูหรา Audi RS5-R แปลงโฉมโดยฝีมือ ABT Sportsline


จากการติดตั้งระบบระบายไอเสียแบบท่อคู่ชุดใหม่ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 4.3 วินาที ABT Sportsline สำนักแต่งขาประจำของแบรนด์สี่ห่วงเปิดตัวชุดอัพเกรดล่าสุดสำหรับ Audi RS5-R ซึ่งเตรียมนำออกอวดโฉมความดุดันที่งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2013 ในสัปดาห์หน้า

เครื่องยนต์ใต้ฝากระโปรงเป็นบล็อก V8 ความจุกระบอกสูบ 4.2 ลิตร มีพละกำลังเพิ่มขึ้นจากเดิม 450 แรงม้าไปอยู่ที่ 470 แรงม้าซึ่งเร็วกว่ารุ่นสแตนดาร์ด 0.3 วินาที
รูปลักษณ์ภายนอกมาพร้อมกับความดุดันเต็มพิกัด ตัวถังสีแดงสลับดำ ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 20 นิ้ว สวมแอโรพาร์ทรอบคันทั้งกันชนหน้า ฝากระโปรง สปอยเลอร์ สเกิร์ตข้าง ดิฟฟิวเซอร์และสปอยเลอร์หลัง ทุกชิ้นส่วนทำจากคาร์บอนไฟเบอร์
ในห้องโดยสารตกแต่งด้วยโทนสีดำสลับแดงเช่นกัน โดยใช้วัสดุ Alcantara และคาร์บอนไฟเบอร์ เบาะที่นั่งบั๊กเก็ตซีทโอบกระชับลำตัวพร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบสี่จุด ปิดท้ายด้วยโรลเคจนิรภัยป้องกันผู้ขับขี่หากเกิดอุบัติเหตุ

ตลาดรถยนต์เดือนมกราคม ยอดขายรวม 125,817 คัน เพิ่มขึ้น 63.4%


นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม 2556 มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 125,817 คัน เพิ่มขึ้น 63.4% ประกอบด้วย รถยนต์นั่ง 59,872 คัน เพิ่มขึ้น 108.6% รถเพื่อการพาณิชย์ 65,945 คัน เพิ่มขึ้น 36.5% รวมทั้ง รถกระบะขนาด 1 ตัน ในเซกเมนท์นี้ จำนวน 55,618 คัน เพิ่มขึ้น 29.9%

ประเด็นสำคัญ
1.) ตลาดรถยนต์เดือนมกราคมมีปริมาณการขาย 125,817 คัน สูงสุดเป็นสถิติใหม่ของยอดขายเดือนมกราคม มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 63.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งมีปริมาณการขาย 59,872 คัน เพิ่มขึ้น 108.6% ด้านตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์มีปริมาณการขาย
65,945 คัน เพิ่มขึ้น 36.5% อย่างไรก็ดียอดขายที่เพิ่มขึ้นมานั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการทยอยส่งมอบ
รถยนต์จากโครงการรถยนต์คันแรกที่มียอดค้างส่งมอบอยู่เป็นจำนวนหนึ่ง ประกอบกับกิจกรรมส่งเสริม
การขายของค่ายรถยนต์ต่างๆที่เริ่มตั้งแต่ในช่วงต้นปี สำหรับอัตราการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นถึง 63.4% นั้น
เป็นผลจากยอดขายเดือนมกราคมปีที่ผ่านมามีจำนวนไม่มาก เนื่องจากผลกระทบจากเหตุการณ์
น้ำท่วมในปี 2554
2.) ตลาดรถยนต์ในเดือน กุมภาพันธ์ คาดว่าปริมาณการขายยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และการทยอยส่งมอบรถยนต์ในโครงการรถยนต์คันแรก ตลอดจน
สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจที่มีค่อนข้างสูง ล้วนเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดรถยนต์ในประเทศ

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เดือนมกราคม 2556
1.)     ตลาดรถยนต์รวม ปริมาณการขาย 125,817 คัน เพิ่มขึ้น 63.4.%                              
อันดับที่ 1 โตโยต้า 40,663 คัน               เพิ่มขึ้น            12.5%           ส่วนแบ่งตลาด 32.3%  
อันดับที่ 2 อีซูซุ      19,858 คัน              เพิ่มขึ้น            80.8%           ส่วนแบ่งตลาด 15.8%  
อันดับที่ 3 ฮอนด้า 18,389 คัน               เพิ่มขึ้น        5,438.9%           ส่วนแบ่งตลาด 14.6%  

2.)     ตลาดรถยนต์นั่ง ปริมาณการขาย 59,872  คัน เพิ่มขึ้น 108.6%
อันดับที่ 1 โตโยต้า   18,436 คัน              เพิ่มขึ้น           32.4%         ส่วนแบ่งตลาด 30.8%        
อันดับที่ 2 ฮอนด้า  15,513 คัน              เพิ่มขึ้น       5,212.7%          ส่วนแบ่งตลาด 25.9%
อันดับที่ 3 นิสสัน     8,243 คัน              เพิ่มขึ้น           49.4%           ส่วนแบ่งตลาด 13.8% 

3.)     ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน*  (Pure Pick up และ รถกระบะดัดแปลง PPV) ปริมาณการขาย55,618 คัน เพิ่มขึ้น 29.9%
อันดับที่ 1 โตโยต้า  20,676 คัน             ลดลง              0.4%           ส่วนแบ่งตลาด 37.2% 
อันดับที่ 2 อีซูซุ      17,974 คัน              เพิ่มขึ้น           75.9%          ส่วนแบ่งตลาด 32.3% 
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ   7,318  คัน              เพิ่มขึ้น            6.5%           ส่วนแบ่งตลาด 13.2%   
     *ปริมาณการขายรถกระบะดัดแปลง ในตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน: 5,941 คัน
       โตโยต้า 2,725 คัน – มิตซูบิชิ 2,307 – เชฟโรเลต 694 คัน –  อีซูซุ 160 คัน – ฟอร์ด 55 คัน

4.)     ตลาดรถกระบะ Pure Pick up ปริมาณการขาย 49,677 คัน เพิ่มขึ้น 31.7%
อันดับที่ 1 โตโยต้า    17,951 คัน            เพิ่มขึ้น           0.3%            ส่วนแบ่งตลาด 36.1%   
อันดับที่ 2 อีซูซุ        17,814 คัน            เพิ่มขึ้น          75.0%            ส่วนแบ่งตลาด 35.9%   
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ    5,011 คัน             เพิ่มขึ้น           5.8%             ส่วนแบ่งตลาด 10.1%

5.)  ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์ ปริมาณการขาย 65,945 คัน เพิ่มขึ้น 36.5%                    
อันดับที่ 1 โตโยต้า   22,227 คัน             ไม่เปลี่ยนแปลง                    ส่วนแบ่งตลาด 33.7%    
อันดับที่ 2 อีซูซุ       19,858 คัน              เพิ่มขึ้น         80.8%            ส่วนแบ่งตลาด 30.1%    
อันดับที่ 3 มิตซูบิชิ    7,318 คัน              เพิ่มขึ้น          6.5%              ส่วนแบ่งตลาด 11.1%

ยลโฉม Ford EcoSport สเปกยุโรป ไฮเทคด้วยเทคโนโลยี SYNC AppLink


Ford เปิดตัว EcoSport รถอเนกประสงค์เอสยูวีที่พัฒนาบนพื้นฐานของ Fiesta เป็นครั้งแรกบนแผ่นดินยุโรปที่งานแสดงเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือในประเทศสเปน

ปัจจุบัน EcoSport ออกทำตลาดในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างบราซิลและอินเดีย ส่วนสาเหตุที่ Ford เลือกงานแสดงมือถือในบาร์เซโลน่าในการโชว์ตัว EcoSport เพราะต้องการอวดเทคโนโลยีการสั่งงานด้วยเสียงและระบบเชื่อมต่อล่าสุดอย่าง SYNC
EcoSport จะเป็นรถรุ่นแรกๆของ Ford ที่ออกจำหน่ายในยุโรปที่จะมาพร้อมระบบ SYNC AppLink เอื้อให้ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานด้วยเสียงและเปิดใช้งานแอพพลิเคชั่นผ่านทางสมาร์ทโฟนได้ นอกจากนี้ยังมีระบบช่วยเหลือฉุกเฉินที่จะเชื่อมต่อกับหน่วยงานท้องถิ่นอย่างรวดเร็วหากประสบปัญหาระหว่างทาง
Ford EcoSport ใช้ขุมพลังขับเคลื่อน EcoBoost บล็อกเบนซิน 3 สูบ ความจุ 1.0 ลิตรและดีเซล 1.5 ลิตร ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 14,000 ปอนด์ในประเทศอังกฤษ

กบง. เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเพิ่มอีก 20-40 สต./ลิตร


วันนี้ รมว.พลังงาน แจ้งที่ประชุม กบง. เห็นชอบปรับเพิ่มเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันของน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ลิตรละ 20 สต. ทุกชนิด ยกเว้นแก๊สโซฮอล์อี20 และดีเซลที่เพิ่มถึง 40 สต./ลิตร

ทั้งนี้ส่งผลให้ราคาขายปลีกของน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์สามารปรับลดราคาลงได้ 20 สต./ลิตร ยกเว้นแก๊สโซฮอล์อี20 และดีเซลไม่มีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ ส่วนต่างราคาน้ำมันของแก้สโซฮอล์อี20 กับ แก้สโซฮอล์ 91 จากเดิม 3 บาท/ ลิตร ลดเหลือ 2.8 บาท/ลิตร
คาดผู้ค้าน้ำมันจะมีการประกาศลดราคาขายน้ำมันตามมติ กบง.เร็วๆนี้

Aston Martin ส่ง Vantage GT4 เข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตไทย


Aston Martin ส่ง Vantage รุ่น GT4 เตรียมลงสนามในรายการ Thailand Super Series (TSS) บ้านเรานี้

โดยได้สร้างตามมาตรฐานของ 2013 FIA GT4 ใช้ขุมพลังขนาด 4.7 ลิตร บล๊อก V8 สร้างพละกำลังมากกว่า 400 แรงม้า ตัวถังเป็นแบบอัลลอย, ช่วงล่างดับเบิลวิชโบน แบบปรับระดับได้
และรายละเอียดอื่นๆ ตามกฏของ GT4 ไม่ว่จะเป็นถังน้ำมันที่วางกลางลำ สปอยเลอร์คาร์บอนไฟเบอร์แบบปรับระดับได้ และอัพเกรดเบรกให้จานด้านหน้าขนาดใหญ่ขึ้น ทั้งหมดนี้ช่วยหั่นน้ำหนักตัวออกไปราว 300 กก.

เจ้า Vantage GT4 นี้ถูกสร้างโดย Aston Martin Racing (AMR) ในอังกฤษ และจะถูกส่งมา ที่เซปัง ในเดือนเมษยนนี้ สำหรับในช่วงทดสอบแรก และจะมาในไทยราวเดือน พฤษภาคม ในรายการ Thailand Super Series

Brabus 800 Roadster รถสปอร์ตรุ่นใหญ่โมดิฟายด์จาก Mercedes-Benz SL 65 AMG


Brabus เตรียมเดินทางสู่งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ในสัปดาห์หน้าด้วยยนตรกรรมรุ่นล่าสุด 800 Roadster พัฒนาต่อยอดจาก 2013 Mercedes-Benz SL 65 AMG

SL 65 AMG รุ่นสแตนดาร์ดจากโรงงานใช้เครื่องยนต์ V12 ความจุ 6.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบคู่ ผลิตพละกำลัง 630 แรงม้า แรงบิด 1,000 นิวตันเมตร Brabus ยังไม่พอใจกับความแรงที่ได้จึงโมดิฟายด์เพิ่มเติมรีดแรงม้าสูงสุดได้ถึง 800 ตัว แรงบิดพุ่งกระฉูดไปถึง 1,420 นิวตันเมตร แต่ถูกจำกัดไว้ที่ 1,000 นิวตันเมตรถ้วนเพื่อความปลอดภัย
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ที่ 3.7 วินาที เร็วกว่ารุ่นสแตนดาร์ด 0.3 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 350 กม./ชม. เหนือกว่ารุ่นก่อนการปรับแต่งที่ถูกจำกัดที่เพียง 250 กม./ชม.
นอกจากขุมพลังที่แรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแล้ว Brabus ยังเสริมชุดแต่งแอโรไดนามิกรอบคัน ซึ่งสำนักแต่งจากเยอรมนีระบุว่าทำการพัฒนาในอุโมงค์ลมเพื่อช่วยเพิ่มแรงกดอากาศขณะขับด้วยความเร็วสูง ทุกชิ้นส่วนทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ สามารถทำสีแบบด้านหรือเงาได้ตามแต่ที่ลูกค้าต้องการ
ล้ออัลลอยของ Brabus ขนาด 20 นิ้ว หุ้มยางสมรรถนะสูง 255/30 ZR20 ที่คู่หน้าและ 305/25 ZR20 ที่ล้อคู่หลัง ช่วงล่างถูกปรับเปลี่ยนใหม่หมดทำงานร่วมกับโมดูล ABC โหลดตัวรถลง 25 มม. นอกจากนี้ยังติดตั้งเฟืองท้ายลิมิเต็ดสลิปใหม่ ในห้องโดยสารถูกแปลงโฉมใหม่เกือบทั้งหมดเช่นกัน ไฮไลท์อยู่ที่มาตรวัดที่มีความเร็วสูงสุดระดับ 360 กม./ชม.เลยทีเดียว

Nismo เปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในญี่ปุ่น ลั่นเปิดตัวรถ Nissan สมรรถนะสูงปีละอย่างน้อยหนึ่งรุ่น


Nismo เปิดสำนักงานใหญ่ระดับโกลเบิลที่เพียบพร้อมด้วยศูนย์วิจัยและพัฒนาแห่งใหม่ในเมืองโยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น

Carlos Ghosn ประธานใหญ่ของ Nissan กล่าวในพิธีเปิดว่า “ไม่ว่าจะเป็นรถขนาดเล็กหรือรถสปอร์ต หากประทับตรา Nismo แล้วย่อมมาพร้อมความพิเศษ ทั้งคุณภาพ การใช้งาน ความประหยัด สไตล์ ความสปอร์ตและสมรรถนะอันปราดเปรียว”
สำนักงานใหญ่และศูนย์ R&D แห่งใหม่ จะส่งเสริมให้ Nismo มีทรัพยากรในการพัฒนารถยนต์นั่งควบคู่ไปกับ Nissan อย่างใกล้ชิด โดยทีมนักวิศวกรของ Nismo จำนวน 180 คนจะทำงานร่วมกันภายในอาคารหลังเดียวซึ่งตั้งอยู่ติดกับศูนย์พัฒนาวิศวกรรมเครื่องยนต์ของ Nissan แน่นอนว่าย่อมทำให้การทำงานไหลลื่นมากขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่โชว์รูมในสำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้ก็มีพื้นที่กว้างขวางขึ้นเช่นกัน สามารถโชว์รถได้ถึงแปดคัน ซึ่งใหญ่กว่าสำนักงานเดิมที่โรงงานโอโมริถึงกว่าสองเท่า
สำหรับแผนการขยายไลน์ Nismo นั้นว่ากันว่าจะมีทั้งรถขนาดเล็กไปจนถึงซูเปอร์คาร์แถวหน้าของโลกอย่าง GT-R โดย Nismo ตั้งเป้าไว้ว่าจะคลอดรถสมรรถนะสูงออกทำตลาดอย่างน้อยปีละหนึ่งรุ่น ก่อนหน้านี้ Nismo เพิ่งเปิดตัว Juke Nismo และ 370Z Nismo โดยมีตลาดหลักอยู่ในยุโรปและญี่ปุ่น
ด้วยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เพื่อการเติบโต Nismo หวังเจาะฐานลูกค้าในวงกว้างมากขึ้นเพื่อแข่งขันกับแผนก M ของ BMW และ AMG ของ Mercedes-Benz ในอนาคตอันใกล้

Lamborghini Nitro 2013 รถแทร็กเตอร์ผสานความแกร่งและสไตล์สุดเท่


Lamborghini Trattori แผนกพัฒนารถแทร็กเตอร์ของค่ายซูเปอร์คาร์จากอิตาเลียน เปิดตัว “Nitro” รถแทร็กเตอร์รุ่นใหม่ปี 2013 พร้อมคำนิยามว่า “เป็นการผสมผสานสไตล์สุดเท่และความแข็งแกร่งทรงพลังเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว”

แน่นอนว่า “สไตล์” ย่อมเป็นความต้องการลำดับท้ายๆเมื่อจะซื้อรถแทร็กเตอร์สำหรับลุยงานหนักสักคัน แต่สำหรับคนที่มองหาความเท่ขณะทำงานก็สามารถเลือกเจ้า Nitro ได้อย่างไม่ต้องอายใคร โดยดีไซเนอร์ชื่อดัง Giugiaro เป็นผู้รับผิดชอบการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นด้วยกรอบไฟท้าย LED และส่วนหน้ารถที่ลาดต่ำราวกับเป็นรถซูเปอร์คาร์
ในห้องโดยสารกว้างขวางและสะดวกสบาย มองเห็นทัศนวิสัยรอบคันแบบ 360 องศาจากการใช้กระจกบานใหญ่ ขุมพลังขับเคลื่อนเป็นเครื่องยนต์ Deutz Tier 4i ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์กลไกแบบ 5 สปีดหรือแบบ Powershift 3 สปีด
Lamborghini Nitro คันนี้ใช้ระบบดิสก์เบรกน้ำมันแบบอิสระ พร้อมระบบเซอร์โวช่วยในการเบรกอีกแรงหนึ่ง นอกจากนี้ยังมาพร้อมอ็อปชั่นพิเศษ Steering Double Displacement เป็นปั๊มควบคุมระบบบังคับเลี้ยวที่ช่วยให้การควบคุมตัวรถทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายยิ่งขึ้น

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เตรียมพบกับ Chevrolet Spin รถอเนกประสงค์ Mini MPV โมเดลล่าสุด ที่จะเปิดตัวในวันที่ 12 มีนาคม นี้


หลังจากที่ Chevrolet ได้ส่งยนตกรรมอเนกประสงค์ในแบบ Mini MPV โมเดลใหม่ล่าสุด อย่าง Chevrolet Spin เปิดตัวและจำหน่ายอย่างเป็นทางการไปแล้วที่ประเทศอินโดนีเซีย พร้อมเผยหน้าตาให้ได้ชาวไทยได้เห็นกันไปแล้วในงาน Motor Expo 2012 เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา

วันนี้ทาง บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทยจำกัด) ประกาศความพร้อมที่จะเปิดตัวเจ้า รถอเนกประสงค์สำหรับครอบครัว Chevrolet Spinn ใหม่ อย่างเป็นทางการในวันที่ 12 มีนาคม นี้ ซึ่งหน้าตาและรูปโฉมจะเป็นอย่างไร รวมถึงราคาและสเป็คจะเหมือนกับที่เปิดตัวในประเทศอินโดนีเซียหรือไม่นั้น โปรดติดตามข้อมูล up date เกี่ยว Chevrolet Spin ได้ทาง AutoSpinn เร็วๆนี้แน่นอน


BMW Group ประเทศไทย สร้างสถิติยอดขายรถยนต์สูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 2 พร้อมเปิดตัวหลากรุ่น Active Hybrid


กรุงเทพฯ. บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สร้างสถิติใหม่อีกครั้งด้วยยอดขายสูงสุดสำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังสร้างสถิติยอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศอื่นๆทั่วโลก
ในปี 2555 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ประสบความสำเร็จกับสถิติยอดขายที่เติบโตขึ้นถึง +44% โดยมียอดขายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิอยู่ที่ 6,114 คัน นอกจากนี้แล้ว ทั้ง 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้สร้างสถิติยอดขายสูงสุดครั้งใหม่ ด้วยยอดขายบีเอ็มดับเบิลยูที่ 5,613 คัน (เพิ่มขึ้น +45% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) มินิ 501 คัน (เพิ่มขึ้น +30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด 290 คัน (เพิ่มขึ้น +37% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า)
มร. แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้จารึกประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้ง ด้วยการทำสถิติยอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง +44% สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 6,114 คัน นับเป็นความสำเร็จอย่างสูงสุดถึงสองปีติดต่อกัน และยังเป็นสถิติยอดขายที่เพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศอื่นๆทั่วโลก

“ความสำเร็จของเราในประเทศไทย เป็นความสำเร็จที่สอดคล้องกับสถิติใหม่ที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทั่วโลก ทำได้กว่า 1.8 ล้าน คัน ภายใต้แบรนด์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และโรลส์-รอยซ์ ซึ่งเพิ่มขึ้น +10.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า”
“สำหรับบีเอ็มดับเบิลยูโดยเฉพาะแล้ว ยอดขายที่เพิ่มขึ้น 45% โดยมียอดรวมทั้งสิ้น 5,613 คัน เป็นเครื่องบ่งบอกการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับบีเอ็มดับเบิลยูในแต่ละรุ่น ทั้งนี้เราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยม ทั้งในด้านเทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงานและรักษาต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับการเป็นเจ้าของที่คุ้มค่า ด้วยเทคโนโลยี BMW EfficientDynamics และ BMW Service Inclusive ทั้ง 2 ปัจจัยนี้เป็นคำตอบที่ดีเยี่ยมสำหรับลูกค้าของเรา เพื่อให้มั่นใจถึงสมรรถนะในด้านความประหยัดและในด้านความสบายใจสำหรับการบำรุงรักษารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร”
“สำหรับมินิแล้ว การสร้างสถิติยอดขายสูงสุดครั้งใหม่ที่ 501 คัน ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน ทั้งนี้ มินิคันทรี่แมน มีส่วนเป็นอย่างมากในการสร้างความสำเร็จในครั้งนี้ ควบคู่ไปกับโปรแกรม MINI Service Inclusive ที่คุ้มครองการบำรุงรักษารถยนต์มินิตลอดระยะเวลา 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร นอกจากนี้แล้วลูกค้ามินิยังสามารถเลือกที่จะขยายระยะเวลาการคุ้มครองนี้ต่อไปได้ถึง 6 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร และด้วยศูนย์บริการมินิสาขาใหม่ล่าสุดที่มิลเลนเนียมออโต้ พระราม 3 เราสามารถที่จะรองรับการเจริญเติบโตของลูกค้ามินิได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดได้สร้างสถิติยอดขายสูงสุดเช่นกัน ด้วยยอดขายทั้งสิ้น 290 คันและอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นถึง 37% ในปีที่แล้ว ความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดในประเทศไทยนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดทั่วโลกที่มียอดขายทั้งสิ้น 106,000 คัน นับเป็นสถิติที่ดีที่สุดในเกือบ 90 ปีแห่งประวัติศาสตร์ของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด”

2556 : ปีแห่งนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นใหม่ๆที่ตอบรับกับโลกแห่งอนาคต
มร. แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2556 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้วางแผนที่จะนำเสนอนวัตกรรมทางยานยนต์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้รถยนต์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและเทคโนโลยี โดยยังคงไว้ซึ่งความประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยมและรักษาต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับการเป็นเจ้าของที่คุ้มค่า นอกจากนี้แล้ว ปี 2556 ยังนับเป็นปีแห่งการเริ่มต้นนวัตกรรมทางเทคโนดลยีใหม่ๆสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ด้วยรถยนต์ทีขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า BMW i3 ที่จะได้รับการเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบภายในปลายปีนี้ สำหรับประเทศไทยนั้น เราพร้อมแล้วที่จะนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆซึ่งพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยได้เป็นอย่างดี”
“บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นตามแผนแม่บทของเราเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความพึงพอใจของลูกค้าและเพื่อเพิ่มศักยภาพในด้านราคาขายต่อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูให้ดียิ่งขึ้นไป ด้วยการตอบรับจากลูกค้าของบีเอ็มดับเบิลยู มินิและบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดอย่างสูงสุดเป็นปีที่สองติดต่อกันนี้ เรายังคงมุ่งมั่นเพื่อทำให้ได้มากกว่าคาดหมายของลูกค้าของเราต่อไป”
บีเอ็มดับเบิลยูไฟแนนเชี่ยล เซอร์วิสเซสสร้างสถิติใหม่อีกครั้งในปี 2555 เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 10 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเช่นเดียวกัน
มร. คริสเตียน วิดมานน์ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยูไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยูไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส ได้เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ด้วยการสร้างสถิติยอดสัญญาเช่าซื้อในปี 2555 ที่เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงถึง 25% สำหรับกลุ่มลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ความสำเร็จดังกล่าวนี้ เป็นผลมาจากผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าได้สูงสุด การให้บริการที่ดีเยี่ยม และการมุ่งมั่นเพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งลูกค้าและผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ทั้งในด้านการเสาะหาลูกค้าใหม่ๆพร้อมๆกับการรักษาฐานลูกค้าปัจจุบันของเราอย่างดีที่สุด”
กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์เชิงรุก เทคโนโลยี BMW ActiveHybrid ที่มีให้เลือกถึง 8 รุ่น :
- BMW ActiveHybrid 3, BMW ActiveHybrid 3 M Sport, BMW ActiveHybrid 3 M Sport with 19” alloy wheel and adaptive M suspension
- BMW ActiveHybrid 5, BMW ActiveHybrid 5 M Sport
- BMW ActiveHybrid 7 L, BMW ActiveHybrid 7 L M Sport, BMW ActiveHybrid 7 L High Line
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย รักษาความเป็นผู้นำ ในเชิงผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีอีกครั้ง สำหรับปี 2556 นี้ BMW ActiveHybrid 3/5/7L จะมีให้เลือกมากถึง 8 รุ่นด้วยกัน ซึ่งทุกรุ่นมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ ที่ได้รับรางวัล “Engine of the year” ถึง 2 ปีซ้อน
BMW ActiveHybrid 3 (ราคา 4,199,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 3 M Sport (ราคา 4,399,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 3 M Sport (ราคา 4,499,000 บาท) พร้อมล้ออัลลอยขนาด 19” และ ช่วงล่าง M แบบปรับตั้งได้
- จัดเป็น full hybrid รุ่นแรกของโลกในกลุ่มของรถสปอร์ตคอมแพ็คซีดานระดับหรู
- เทคโนโลยี hybrid อัจฉริยะ พร้อมประสิทธิภาพแห่งการประหยัด แต่คงไว้ซึ่งขุมกำลังอันเต็มเปี่ยม ที่ประกอบไปด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า, เครื่องยนต์เบนซิน BMW TwinPower Turbo 6 สูบ, และแบตเตอร์รี่ลิเทียมไอออน ประสิทธิภาพสูง
- พละกำลังแห่งการขับเคลื่อนถึง 340 แรงม้าโดยรวมทั้งหมดและมีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.3 วินาที
- สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลถึง 4 กิโลเมตร ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- พื้นที่เก็บสัมภาระด้วยท้ายถูกออกแบบมาเพื่อเก็บแบตเตอรรี่ลิเทียมไอออนไว้อย่างมิดชิด
BMW ActiveHybrid 5 (ราคา 5,399,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 5 M Sport (ราคา 5,599,000 บาท)
- เปี่ยมด้วยความสมดุลย์ของขุมกำลังที่ 340 แรงม้า และระดับการปล่อย CO2 เพียง 149 กรัม/กม.
- สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลถึง 4 กิโลเมตร ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- Coasting mode ตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ ได้จนถึงขีดความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.
- ระบบบริหารการใช้พลังงานอย่างชาญฉลาด intelligent energy management
- E-boost function ช่วยเพิ่มอัตราการเร่งได้อย่างคล่องตัว
BMW ActiveHybrid 7 L (ราคา 8,299,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 7 L M Sport (ราคา 8,899,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 7 L Highline (ราคา 8,999,000 บาท)
 บีเอ็มดับเบิลยู ActiveHybrid 7 L สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลถึง 4 กิโลเมตร ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
 มอเตอร์ไฟฟ้าสั่งงานฟังก์ชั่น Boost เมื่อต้องการพลังงานสำหรับการออกตัว หรือเมื่อต้องการเร่งแซง ซึ่งสามารถให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.7 วินาที
 ระบบชาร์จไฟแบตเตอรี่แบบอัตโนมัติ (Brake Energy Regeneration), ระบบ Hybrid Start/Stop และโหมดการขับขี่แบบ ECO PRO ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
 อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 14.7 กิโลเมตร/ลิตร (ระดับการปล่อย CO2 เพียง 158 กรัม/กิโลเมตร)
BMW 7 Series LCI
BMW 730Li (THB 7,299,000)
BMW 730Ld (THB 7,599,000)
- ไฟหน้าแบบ LED แบบปรับอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ยามค่ำคืนโดยไม่รบกวนสายตาของผู้ขับขี่รถยนต์คันอื่น
- ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อย่างดีเยี่ยม
- หน้าจอแสดงผลขนาด 10.25 นิ้ว เพื่อแสดงผลในการขับขี่ด้วยโหมดต่างๆที่เลือกได้ รวมทั้ง ECO PRO
ประกาศเพิ่มเติม
BMW 320d Touring M Sport ประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการที่ 4,099,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

BMW Motorrad
BMW HP4 – น้ำหนักเบาที่สุดแต่ให้พละกำลังสูงสุดถึง 193 แรงม้า
BMW HP4 จัดเป็นมอเตอร์ไซด์ 4 สูบ ในกลุ่มซุปเปอร์สปอร์ต 1,000 ซีซี ที่เบาที่สุด ให้พละกำลังสูงสุด 193 แรงม้า และมีน้ำหนักเพียง 199 กิโลกรัม หากคำนวณโดยรวม Race ABS และ ถังน้ำมันที่เติมเต็ม 90 เปอร์เซ็นต์ (169 กิโลกรัม คำนวณที่ถังเปล่ารวม Race ABS)
บีเอ็มดับเบิลยู HP4 มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ เช่นเดียวกับ S 1000 RR ให้กำลังขับเคลื่อนสูงสุด193 แรงม้าที่ 13,000 รอบ และมีรอบเครื่องยนต์สูงสุด 14,200 รอบ
สำหรับผู้ที่ต้องการการขับขี่อย่างเร้าใจสูงสุด BMW HP4 พร้อมชุดแต่ง Competition Package มาพร้อมกับชิ้นส่วนคาร์บอน เช่น สปอยเลอร์, ที่พักเท้า, มือจับเบรกและคลัช, ล้อสี Racing blue metallic.
BMW F700 GS & F800 GS – พร้อมระบบ ABS ทั้ง 2 รุ่น
BMW F 800 GS รวมการใช้งานทั้งในแบบทั่วไป และในแบบ Touring ด้วยสมรรถนะ ของมอเตอร์ไซด์ออฟโรด ในขณะที่ BMW F 700 GS ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ขับขี่ที่ไม่ต้องการ ใช้งานในลักษณะออฟโรด มากนัก แต่เน้นจุดแข็งในเรื่องของระดับที่นั่งต่ำ และความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
BMW F 800 GS BMW F 700 GS
63 กิโลวัตต์ /85 แรงม้า 55 กิโลวัตต์ /75 แรงม้า
USD telescopic fork conventional telescopic fork
Progressive damping spring strut Gas pressure spring strut
ล้อแบบซีลวด ล้อแบบอลูมิเนียมหล่อ
ล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว ล้อหน้าขนาด 19 นิ้ว
แฮนเดิ้ลบาร์อลูมิเนียม แฮนเดิ้ลบาร์เหล็ก
ความสูงเบาะที่นั่ง 880/850 mm ความสูงเบาะที่นั่ง 820/790 mm
น้ำหนัก 214 กก. น้ำหนัก 209 กก.
ข้อมูลเพิ่มเติม
ลูกค้าสบายใจได้เสมอกับโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ BMW Services Inclusive (BSI) และ MINI Service Inclusive (MSI)
หัวใจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจสูงสุด คือ ความสบายใจของลูกค้า ดังนั้นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิจึงมาพร้อมกับโปรแกรมบริการหลังการขาย BSI BMW Services Inclusive ซึ่งเป็นการดูแลบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 5 ปี/ 100,000 กิโลเมตร นอกจากนี้แล้ว ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูยังสามารถเลือกที่จะขยายระยะเวลาโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูดังกล่าวนี้เพิ่มเติมได้อีก 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร เพื่อการคุ้มครองสูงสุดรวม 6 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร สำหรับลูกค้ามินิ โปรแกรม MINI Service Inclusive คุ้มครองการบำรุงรักษารถยนต์มินิตลอดระยะเวลา 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร นอกจากนี้แล้วลูกค้ามินิยังสามารถเลือกที่จะขยายระยะเวลาการคุ้มครองนี้ต่อไปได้โดยรวมถึง 6 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร
โปรแกรม BSI และ MSI นี้ นอกจากจะเป็นการสร้างความสบายใจแล้ว ยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของ (Low Cost of Ownership) และช่วยเพิ่มมูลค่าการขายต่ออีกด้วย
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เราผลิตและจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และโรลส์-รอยซ์ และรถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู เรามีเครือข่ายการผลิต 29 แห่งใน 14 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีเครือข่ายผู้จำหน่ายและบริการมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก ในปีค.ศ. 2012 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปมียอดขายรถยนต์ 1.85 ล้านคันและรถมอเตอร์ไซค์กว่า 117,000 คันทั่วโลก และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2011 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปมีพนักงานประมาณ 100,000 คนทั่วโลก
ความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้รับการขับเคลื่อนจากพลังแห่งวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี สร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม และให้บริการกับลูกค้าอย่างดีที่สุด นอกจากนั้นเรายังให้ความสำคัญกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน โดยการคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในทุกผลิตภัณฑ์และในทุกขั้นตอนการผลิต และจากความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างไม่ลดละ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปจึงได้รับการจัดอันดับให้เป็น The World’s Most Sustainable Car Manufacturer โดยสถาบัน Dow Jones ใน 8 ปีที่ผ่านมา

BMW Group ประเทศไทย สร้างสถิติยอดขายรถยนต์สูงสุดติดต่อกันเป็นปีที่ 2 พร้อมเปิดตัวหลากรุ่น Active Hybrid


กรุงเทพฯ. บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย สร้างสถิติใหม่อีกครั้งด้วยยอดขายสูงสุดสำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังสร้างสถิติยอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศอื่นๆทั่วโลก
ในปี 2555 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ประสบความสำเร็จกับสถิติยอดขายที่เติบโตขึ้นถึง +44% โดยมียอดขายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิอยู่ที่ 6,114 คัน นอกจากนี้แล้ว ทั้ง 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้สร้างสถิติยอดขายสูงสุดครั้งใหม่ ด้วยยอดขายบีเอ็มดับเบิลยูที่ 5,613 คัน (เพิ่มขึ้น +45% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) มินิ 501 คัน (เพิ่มขึ้น +30% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า) และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด 290 คัน (เพิ่มขึ้น +37% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า)
มร. แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้จารึกประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้ง ด้วยการทำสถิติยอดขายเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง +44% สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิ โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 6,114 คัน นับเป็นความสำเร็จอย่างสูงสุดถึงสองปีติดต่อกัน และยังเป็นสถิติยอดขายที่เพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับบีเอ็มดับเบิลยูในประเทศอื่นๆทั่วโลก

“ความสำเร็จของเราในประเทศไทย เป็นความสำเร็จที่สอดคล้องกับสถิติใหม่ที่บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ทั่วโลก ทำได้กว่า 1.8 ล้าน คัน ภายใต้แบรนด์ บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และโรลส์-รอยซ์ ซึ่งเพิ่มขึ้น +10.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า”
“สำหรับบีเอ็มดับเบิลยูโดยเฉพาะแล้ว ยอดขายที่เพิ่มขึ้น 45% โดยมียอดรวมทั้งสิ้น 5,613 คัน เป็นเครื่องบ่งบอกการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับบีเอ็มดับเบิลยูในแต่ละรุ่น ทั้งนี้เราได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเยี่ยม ทั้งในด้านเทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงานและรักษาต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับการเป็นเจ้าของที่คุ้มค่า ด้วยเทคโนโลยี BMW EfficientDynamics และ BMW Service Inclusive ทั้ง 2 ปัจจัยนี้เป็นคำตอบที่ดีเยี่ยมสำหรับลูกค้าของเรา เพื่อให้มั่นใจถึงสมรรถนะในด้านความประหยัดและในด้านความสบายใจสำหรับการบำรุงรักษารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูตลอดระยะเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร”
“สำหรับมินิแล้ว การสร้างสถิติยอดขายสูงสุดครั้งใหม่ที่ 501 คัน ถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน ทั้งนี้ มินิคันทรี่แมน มีส่วนเป็นอย่างมากในการสร้างความสำเร็จในครั้งนี้ ควบคู่ไปกับโปรแกรม MINI Service Inclusive ที่คุ้มครองการบำรุงรักษารถยนต์มินิตลอดระยะเวลา 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร นอกจากนี้แล้วลูกค้ามินิยังสามารถเลือกที่จะขยายระยะเวลาการคุ้มครองนี้ต่อไปได้ถึง 6 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร และด้วยศูนย์บริการมินิสาขาใหม่ล่าสุดที่มิลเลนเนียมออโต้ พระราม 3 เราสามารถที่จะรองรับการเจริญเติบโตของลูกค้ามินิได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดได้สร้างสถิติยอดขายสูงสุดเช่นกัน ด้วยยอดขายทั้งสิ้น 290 คันและอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นถึง 37% ในปีที่แล้ว ความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดในประเทศไทยนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดทั่วโลกที่มียอดขายทั้งสิ้น 106,000 คัน นับเป็นสถิติที่ดีที่สุดในเกือบ 90 ปีแห่งประวัติศาสตร์ของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด”

2556 : ปีแห่งนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและบีเอ็มดับเบิลยูรุ่นใหม่ๆที่ตอบรับกับโลกแห่งอนาคต
มร. แมทธิอัส พฟาลซ์ ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ในปี 2556 นี้ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้วางแผนที่จะนำเสนอนวัตกรรมทางยานยนต์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้รถยนต์ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและเทคโนโลยี โดยยังคงไว้ซึ่งความประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยมและรักษาต้นทุนค่าใช้จ่ายสำหรับการเป็นเจ้าของที่คุ้มค่า นอกจากนี้แล้ว ปี 2556 ยังนับเป็นปีแห่งการเริ่มต้นนวัตกรรมทางเทคโนดลยีใหม่ๆสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ด้วยรถยนต์ทีขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า BMW i3 ที่จะได้รับการเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบภายในปลายปีนี้ สำหรับประเทศไทยนั้น เราพร้อมแล้วที่จะนำเสนอรถยนต์รุ่นใหม่ๆซึ่งพร้อมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าชาวไทยได้เป็นอย่างดี”
“บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยยังคงมุ่งมั่นตามแผนแม่บทของเราเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความพึงพอใจของลูกค้าและเพื่อเพิ่มศักยภาพในด้านราคาขายต่อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูให้ดียิ่งขึ้นไป ด้วยการตอบรับจากลูกค้าของบีเอ็มดับเบิลยู มินิและบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดอย่างสูงสุดเป็นปีที่สองติดต่อกันนี้ เรายังคงมุ่งมั่นเพื่อทำให้ได้มากกว่าคาดหมายของลูกค้าของเราต่อไป”
บีเอ็มดับเบิลยูไฟแนนเชี่ยล เซอร์วิสเซสสร้างสถิติใหม่อีกครั้งในปี 2555 เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบ 10 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาเช่นเดียวกัน
มร. คริสเตียน วิดมานน์ กรรมการผู้จัดการ บีเอ็มดับเบิลยูไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยูไฟแนนเชียล เซอร์วิสเซส ได้เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา ด้วยการสร้างสถิติยอดสัญญาเช่าซื้อในปี 2555 ที่เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงถึง 25% สำหรับกลุ่มลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ความสำเร็จดังกล่าวนี้ เป็นผลมาจากผลิตภัณฑ์ที่สามารถปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าได้สูงสุด การให้บริการที่ดีเยี่ยม และการมุ่งมั่นเพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งลูกค้าและผู้จำหน่ายบีเอ็มดับเบิลยูและมินิ ทั้งในด้านการเสาะหาลูกค้าใหม่ๆพร้อมๆกับการรักษาฐานลูกค้าปัจจุบันของเราอย่างดีที่สุด”
กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์เชิงรุก เทคโนโลยี BMW ActiveHybrid ที่มีให้เลือกถึง 8 รุ่น :
- BMW ActiveHybrid 3, BMW ActiveHybrid 3 M Sport, BMW ActiveHybrid 3 M Sport with 19” alloy wheel and adaptive M suspension
- BMW ActiveHybrid 5, BMW ActiveHybrid 5 M Sport
- BMW ActiveHybrid 7 L, BMW ActiveHybrid 7 L M Sport, BMW ActiveHybrid 7 L High Line
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย รักษาความเป็นผู้นำ ในเชิงผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีอีกครั้ง สำหรับปี 2556 นี้ BMW ActiveHybrid 3/5/7L จะมีให้เลือกมากถึง 8 รุ่นด้วยกัน ซึ่งทุกรุ่นมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ ที่ได้รับรางวัล “Engine of the year” ถึง 2 ปีซ้อน
BMW ActiveHybrid 3 (ราคา 4,199,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 3 M Sport (ราคา 4,399,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 3 M Sport (ราคา 4,499,000 บาท) พร้อมล้ออัลลอยขนาด 19” และ ช่วงล่าง M แบบปรับตั้งได้
- จัดเป็น full hybrid รุ่นแรกของโลกในกลุ่มของรถสปอร์ตคอมแพ็คซีดานระดับหรู
- เทคโนโลยี hybrid อัจฉริยะ พร้อมประสิทธิภาพแห่งการประหยัด แต่คงไว้ซึ่งขุมกำลังอันเต็มเปี่ยม ที่ประกอบไปด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า, เครื่องยนต์เบนซิน BMW TwinPower Turbo 6 สูบ, และแบตเตอร์รี่ลิเทียมไอออน ประสิทธิภาพสูง
- พละกำลังแห่งการขับเคลื่อนถึง 340 แรงม้าโดยรวมทั้งหมดและมีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.3 วินาที
- สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลถึง 4 กิโลเมตร ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- พื้นที่เก็บสัมภาระด้วยท้ายถูกออกแบบมาเพื่อเก็บแบตเตอรรี่ลิเทียมไอออนไว้อย่างมิดชิด
BMW ActiveHybrid 5 (ราคา 5,399,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 5 M Sport (ราคา 5,599,000 บาท)
- เปี่ยมด้วยความสมดุลย์ของขุมกำลังที่ 340 แรงม้า และระดับการปล่อย CO2 เพียง 149 กรัม/กม.
- สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลถึง 4 กิโลเมตร ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- Coasting mode ตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ ได้จนถึงขีดความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.
- ระบบบริหารการใช้พลังงานอย่างชาญฉลาด intelligent energy management
- E-boost function ช่วยเพิ่มอัตราการเร่งได้อย่างคล่องตัว
BMW ActiveHybrid 7 L (ราคา 8,299,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 7 L M Sport (ราคา 8,899,000 บาท)
BMW ActiveHybrid 7 L Highline (ราคา 8,999,000 บาท)
 บีเอ็มดับเบิลยู ActiveHybrid 7 L สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลถึง 4 กิโลเมตร ด้วยความเร็วที่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง
 มอเตอร์ไฟฟ้าสั่งงานฟังก์ชั่น Boost เมื่อต้องการพลังงานสำหรับการออกตัว หรือเมื่อต้องการเร่งแซง ซึ่งสามารถให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 5.7 วินาที
 ระบบชาร์จไฟแบตเตอรี่แบบอัตโนมัติ (Brake Energy Regeneration), ระบบ Hybrid Start/Stop และโหมดการขับขี่แบบ ECO PRO ช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง
 อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 14.7 กิโลเมตร/ลิตร (ระดับการปล่อย CO2 เพียง 158 กรัม/กิโลเมตร)
BMW 7 Series LCI
BMW 730Li (THB 7,299,000)
BMW 730Ld (THB 7,599,000)
- ไฟหน้าแบบ LED แบบปรับอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มวิสัยทัศน์ในการขับขี่ยามค่ำคืนโดยไม่รบกวนสายตาของผู้ขับขี่รถยนต์คันอื่น
- ระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้อย่างดีเยี่ยม
- หน้าจอแสดงผลขนาด 10.25 นิ้ว เพื่อแสดงผลในการขับขี่ด้วยโหมดต่างๆที่เลือกได้ รวมทั้ง ECO PRO
ประกาศเพิ่มเติม
BMW 320d Touring M Sport ประกาศราคาขายอย่างเป็นทางการที่ 4,099,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

BMW Motorrad
BMW HP4 – น้ำหนักเบาที่สุดแต่ให้พละกำลังสูงสุดถึง 193 แรงม้า
BMW HP4 จัดเป็นมอเตอร์ไซด์ 4 สูบ ในกลุ่มซุปเปอร์สปอร์ต 1,000 ซีซี ที่เบาที่สุด ให้พละกำลังสูงสุด 193 แรงม้า และมีน้ำหนักเพียง 199 กิโลกรัม หากคำนวณโดยรวม Race ABS และ ถังน้ำมันที่เติมเต็ม 90 เปอร์เซ็นต์ (169 กิโลกรัม คำนวณที่ถังเปล่ารวม Race ABS)
บีเอ็มดับเบิลยู HP4 มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบ 4 สูบ เช่นเดียวกับ S 1000 RR ให้กำลังขับเคลื่อนสูงสุด193 แรงม้าที่ 13,000 รอบ และมีรอบเครื่องยนต์สูงสุด 14,200 รอบ
สำหรับผู้ที่ต้องการการขับขี่อย่างเร้าใจสูงสุด BMW HP4 พร้อมชุดแต่ง Competition Package มาพร้อมกับชิ้นส่วนคาร์บอน เช่น สปอยเลอร์, ที่พักเท้า, มือจับเบรกและคลัช, ล้อสี Racing blue metallic.
BMW F700 GS & F800 GS – พร้อมระบบ ABS ทั้ง 2 รุ่น
BMW F 800 GS รวมการใช้งานทั้งในแบบทั่วไป และในแบบ Touring ด้วยสมรรถนะ ของมอเตอร์ไซด์ออฟโรด ในขณะที่ BMW F 700 GS ถูกออกแบบมาเพื่อผู้ขับขี่ที่ไม่ต้องการ ใช้งานในลักษณะออฟโรด มากนัก แต่เน้นจุดแข็งในเรื่องของระดับที่นั่งต่ำ และความสะดวกสบายสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
BMW F 800 GS BMW F 700 GS
63 กิโลวัตต์ /85 แรงม้า 55 กิโลวัตต์ /75 แรงม้า
USD telescopic fork conventional telescopic fork
Progressive damping spring strut Gas pressure spring strut
ล้อแบบซีลวด ล้อแบบอลูมิเนียมหล่อ
ล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว ล้อหน้าขนาด 19 นิ้ว
แฮนเดิ้ลบาร์อลูมิเนียม แฮนเดิ้ลบาร์เหล็ก
ความสูงเบาะที่นั่ง 880/850 mm ความสูงเบาะที่นั่ง 820/790 mm
น้ำหนัก 214 กก. น้ำหนัก 209 กก.
ข้อมูลเพิ่มเติม
ลูกค้าสบายใจได้เสมอกับโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์ BMW Services Inclusive (BSI) และ MINI Service Inclusive (MSI)
หัวใจสำคัญในการสร้างความพึงพอใจสูงสุด คือ ความสบายใจของลูกค้า ดังนั้นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิจึงมาพร้อมกับโปรแกรมบริการหลังการขาย BSI BMW Services Inclusive ซึ่งเป็นการดูแลบำรุงรักษาตลอดระยะเวลา 5 ปี/ 100,000 กิโลเมตร นอกจากนี้แล้ว ลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูยังสามารถเลือกที่จะขยายระยะเวลาโปรแกรมบำรุงรักษารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูดังกล่าวนี้เพิ่มเติมได้อีก 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร เพื่อการคุ้มครองสูงสุดรวม 6 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร สำหรับลูกค้ามินิ โปรแกรม MINI Service Inclusive คุ้มครองการบำรุงรักษารถยนต์มินิตลอดระยะเวลา 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร นอกจากนี้แล้วลูกค้ามินิยังสามารถเลือกที่จะขยายระยะเวลาการคุ้มครองนี้ต่อไปได้โดยรวมถึง 6 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร
โปรแกรม BSI และ MSI นี้ นอกจากจะเป็นการสร้างความสบายใจแล้ว ยังเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของ (Low Cost of Ownership) และช่วยเพิ่มมูลค่าการขายต่ออีกด้วย
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป เป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์และรถมอเตอร์ไซค์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก เราผลิตและจำหน่ายรถยนต์ภายใต้แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และโรลส์-รอยซ์ และรถมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู เรามีเครือข่ายการผลิต 29 แห่งใน 14 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังมีเครือข่ายผู้จำหน่ายและบริการมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก ในปีค.ศ. 2012 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปมียอดขายรถยนต์ 1.85 ล้านคันและรถมอเตอร์ไซค์กว่า 117,000 คันทั่วโลก และ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2011 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปมีพนักงานประมาณ 100,000 คนทั่วโลก
ความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้รับการขับเคลื่อนจากพลังแห่งวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยี สร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยม และให้บริการกับลูกค้าอย่างดีที่สุด นอกจากนั้นเรายังให้ความสำคัญกับการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน โดยการคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในทุกผลิตภัณฑ์และในทุกขั้นตอนการผลิต และจากความมุ่งมั่นและความพยายามอย่างไม่ลดละ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปจึงได้รับการจัดอันดับให้เป็น The World’s Most Sustainable Car Manufacturer โดยสถาบัน Dow Jones ใน 8 ปีที่ผ่านมา

2014 Audi RS Q3 เวอร์ชั่นใหม่ของครอสโอเวอร์ตัวแรง เปิดตัวอย่างเป็นทางการ


Audi เผยโฉม 2014 RS Q3 รถคอมแพกต์ครอสโอเวอร์พันธุ์แรงเวอร์ชั่นล่าสุด ก่อนขึ้นเวทีโชว์ตัวสู่สาธารณชนที่งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ ในสวิสเซอร์แลนด์ต้นเดือนหน้า

จุดเด่นอยู่ที่ความโหดและดุดัน ชิ้นส่วนรอบคันได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่หมด ทั้งกันชนหน้า สเกิร์ตข้าง กระจังหน้าลายรังผึ้ง เติมเส้นสายด้วยอลูมิเนียมแบบด้าน สปอยเลอร์บนหลังคาท้าย ดิฟฟิวเซอร์หลังและท่อไอเสียทรงวงรี รวมถึงการติดตั้งระบบเบรกสมรรถนะสูงพร้อมคาลิปเปอร์สีดำแบบ 6 สูบ ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วและ 20 นิ้ว ความสูงของตัวรถถูกโหลดเตี้ยลง 25 มม.ด้วยช่วงล่างชุดใหม่
ในค็อกพิทเน้นความสปอร์ตเต็มพิกัด เบาะที่นั่งหุ้มหนังสลับด้วย Alcantara พวงมาลัยแบบตัดตรงที่ด้านล่างสไตล์รถแข่งและแป้นเหยียบอลูมิเนียม ลูกค้ายังสามารถเลือกติดตั้งอินโฟเทนเมนท์ MMI ตลอดจนการใช้วัสดุสีดำมันเงา อลูมิเนียมหรือคาร์บอนไฟเบอร์ได้ หากยังไม่พอใจก็สามารถเลือกอ็อปชั่นระบบนำทาง GPS ระบบเชื่อมต่อไวไฟ WLAN และเครื่องเสียง Bose ลำโพงสนั่นโสตมากถึง 14 ตัวได้อีกด้วย
เครื่องยนต์ใช้บล็อก 5 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ผลิตพละกำลัง 310 แรงม้า แรงบิด 420 นิวตันเมตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ S Tronic 7 สปีด ขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro กระชากตัวถังน้ำหนัก 1,730 กก.ให้ออกตัวจากหยุดนิ่งถึง 100 กม./ชม.ในเวลา 5.5 วินาที ท็อปสปีดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
สำหรับอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 11.3 กม./ลิตร ปล่อยมลพิษ 206 กรัม/กม. Audi RS Q3 จะเปิดให้ลูกค้าชาวยุโรปจับจองสิ้นปีนี้ ราคาจำหน่ายในเยอรมนีเริ่มต้นที่ 54,600 ยูโร

หล่อเร้าใจ Mercedes-Benz A45 AMG Edition 1 แฮทช์แบ็กสปอร์ตรุ่นเล็กเวอร์ชั่นพิเศษ


Mercedes-Benz เปิดตัวรถแฮทช์แบ็กเวอร์ชั่นพิเศษที่ถูกเติมแต่งความหล่อเร้าใจขึ้นไปอีกขั้น ในชื่อรุ่น A45 AMG Edition 1 ซึ่งไม่เพียงรูปลักษณ์ที่สะดุดตามากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีอ็อปชั่นพิเศษเพิ่มเข้ามาอีกมากมายให้ลูกค้าได้เลือกใช้

รูปลักษณ์ภายนอกของ A45 AMG Edition 1 ใช้สีขาว Cirrus White คาดด้วยแถบลายสปอร์ตสีเทาแบบด้านบนฝากระโปรงพาดไปที่หลังคาจรดท้ายรถ พร้อมติดตั้งแพ็คเกจแอโรไดนามิกอย่างปีกสปอยเลอร์หลัง ลิ้นสเกิร์ตหน้าและแผงกันชนใหม่ นอกจากนี้ ยังมีกระจังหน้า คาลิปเปอร์เบรก กระจกมองข้างและสปอยเลอร์หลังถูกแต่งเติมด้วยสีแดงเพิ่มความร้อนแรงอีกระดับ ล้ออัลลอยใช้ขนาด 19 นิ้วสีดำ หุ้มยาง 235/35 R 19
การตกแต่งภายในเน้นเฉดสีดำสลับแดง เบาะที่นั่งใช้รุ่น AMG Performance หุ้มหนัง Artico และไมโครไฟเบอร์ Dinamica ตัดเย็บด้วยมือ พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa และไมโครไฟเบอร์เช่นเดียวกัน หัวเกียร์ปักโลโก้ AMG และประทับตรา Edition 1
น่าเสียดายที่ไม่มีการอัพเกรดขุมพลังขับเคลื่อน แต่บล็อกสแตนดาร์ด 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร เทอร์โบ พลัง 355 แรงม้าก็ถือว่าแรงในระดับหนึ่งอยู่แล้ว สำหรับท่อไอเสียถูกปรับเปลี่ยนมาใช้แบบสปอร์ต เช่นเดียวกับช่วงล่างก็มีการปรับจูนเพิ่มประสิทธิภาพการเกาะถนน

Chevrolet Captiva รุ่นไมเนอร์เชนจ์ โฉมปี 2013 จ่อโชว์ตัวครั้งแรกที่เจนีวา


Chevrolet เตรียมนำรถอเนกประสงค์เอสยูวีที่ขายดีทั่วโลกอย่าง Captiva รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ปี 2013 ออกโชว์ตัวที่งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ ต้นเดือนหน้า

เมื่อปี 2011 Chevrolet เคยทำการปรับโฉมให้ Captiva มาพร้อมกับกระจังหน้าทรงดุดันมาแล้ว สำหรับการไมเนอร์เชนจ์ครั้งล่าสุดในปี 2013 นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ใหม่ตั้งแต่หน้าจรดท้าย ไม่ว่าจะเป็นด้านล่างกันชนหน้า กระจังหน้า ไฟตัดหมอกดีไซน์ใหม่ กรอบไฟท้าย LED กันชนหลังและปลายท่อไอเสียโครเมียมทรงสวย ตลอดจนล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว (ตัวท็อปของเมืองไทยรุ่นปี 2012 ใช้ขนาด 19 นิ้ว)
สำหรับ Captiva สเปกยุโรปรุ่นปรับโฉมจะติดตั้งระบบ keyless entry เข้าออกห้องโดยสารและสตาร์ทรถโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ภายในค็อกพิทตกแต่งด้วยวัสดุผ้าเกรดดีกว่าเดิมและมีสีสันใหม่ให้เลือกเพิ่มเติม บางรุ่นย่อยยังมาพร้อมเบาะคู่หน้าปรับอุณหภูมิได้ แสงไฟ ambient และระบบปรับอากาศแบบแยกส่วนดูอัลโซน
นอกจาก Captiva แล้ว Chevrolet ประกาศด้วยว่า รถอเนกประสงค์ Trax จะออกจำหน่ายในยุโรปช่วงกลางปีนี้

McLaren ยืนยัน! ซูเปอร์คาร์รุ่นล่าสุด “P1” มาพร้อมพละกำลัง 916 แรงม้า


McLaren ออกมายืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่าขุมพลังไฮบริดของซูเปอร์คาร์รุ่นใหม่ P1 จะมีพละกำลังให้เหยียบกันสูงถึง 916 แรงม้า

P1 จะใช้หัวใจขับเคลื่อน V8 วางกลางลำ ความจุกระบอกสูบ 3.8 ลิตร พ่วงทวินเทอร์โบให้พละกำลังที่ 737 แรงม้าที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 720 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบ/นาที โดยจะทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้เรี่ยวแรงอีก 179 แรงม้า แรงบิดแบบ instant อีก 260 นิวตันเมตร
ผู้ขับสามารถสั่งให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานผ่านระบบ Instant Power Assist System (IPAS) ด้วยการกดสวิทช์บนพวงมาลัย ซึ่งทาง McLaren บอกว่าเมื่อกดสั่งให้ทำงานแล้ว ลิ้นปีกผีเสื้อและคันเร่งจะตอบสนองเหมือนกับเป็นเครื่องยนต์ไร้ระบบอัดอากาศ หรืออีกนัยหนึ่งหมายความว่าจะปราศจากอาการรอรอบหรือ turbo lag อย่างสิ้นเชิง
อีกหนึ่งสวิทช์บนพวงมาลัยคือ Drag Reduction System (DRS) ซึ่งจะปรับองศาของสปอยเลอร์หลังเพื่อลดแรงเสียดทานอากาศ โดยระบบ DRS จะหยุดการทำงานเมื่อกดสวิทช์อีกครั้งหรือเมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรก
ชุดแบตเตอรี่จะติดตั้งอยู่ด้านล่างแชสซีส์ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยต้องใช้เวลาราวสองชั่วโมงในการชาร์จให้เต็มหนึ่งครั้ง แบตเตอรี่ซึ่งมีน้ำหนัก 96 กก.ชุดนี้จะเอื้อให้ McLaren P1 ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าล้วนๆได้ระยะทางสูงสุด 9.6 กม.