วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

แปลงโฉม 2013 Range Rover จากสี่ประตูเป็นรถคูเป้ โดยฝีมือ Merdad


หลังจากเคยประสบความสำเร็จในการแปลงโฉม Porsche Cayenne ให้เป็นเวอร์ชั่นคูเป้อย่างน่าอัศจรรย์เมื่อปี 2010 กลับมาคราวนี้ Merdad Collection สำนักแต่งจากประเทศอังกฤษคลอดผลงานชิ้นล่าสุดนั่นคือ Range Rover เวอร์ชั่น Highland GTC รถเอสยูวีสุดหรูแบบคูเป้

อย่างที่เห็นในภาพ Merdad Collection ทำการดัดแปลงตัวถัง Range Rover ใหม่หมดด้วยการตัดประตูหลังทิ้งไปก่อนจะขยายประตูหน้าให้กว้างขึ้นกลายเป็นรถแบบสองประตูคูเป้ พร้อมสวมล้ออัลลอยใหม่และติดตั้งชุดบอดี้คิทแอโรไดนามิกที่ทำให้มิติตัวถังกว้างขึ้นอีก 92 มม. รวมถึงการขยายซุ้มล้อ ติดตั้งสเกิร์ตข้าง ฝากระโปรงหน้า สปอยเลอร์บนหลังคา กันชนหลังทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ แผงดิฟฟิวเซอร์และท่อไอเสียใหม่
Merdad ทำการพลิกโฉมห้องโดยสารใหม่หมดจดเช่นกัน รวมถึงการอัพเกรดช่วงล่างพร้อมโมดูลอิเลกทรอนิกที่ช่วยลดส่วนสูงของตัวรถให้เตี้ยลง 40 มม.
สำหรับการโมดิฟายด์ขุมพลังขับเคลื่อนยังไม่เปิดเผย แต่ Merdad บอกว่าจะนำเสนอ Range Rover Highland GTC ทั้งหมดสี่รุ่น มีพละกำลังตั้งแต่ 510 – 700 แรงม้า ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 209,000 เหรียญสหรัฐฯ ถึงรุ่นท็อป 485,000 เหรียญฯ
“โครงการพัฒนา Porsche Cayenne Coupe ทำให้เราได้ความรู้ความเชี่ยวชาญมากมายระหว่างการวิจัยและพัฒนา ซึ่งเรานำมาปรับใช้กับ Range Rover Highland GTC คันนี้เพื่อที่จะเป็นรถซูเปอร์เอสยูวีที่สมบูรณ์แบบทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายในห้องโดยสาร” Merdad ระบุ

เสียของ? BMW M5 แต่งภายในสุดประหลาดตาโดย Hamann


Hamann สำนักจูนนิ่งชื่อดังจากเยอรมนีลงมือปรับโฉม BMW M5 (ตัวถัง F10) อีกหนึ่งเวอร์ชั่น ชนิดแทบจำเค้าเดิมไม่ได้ เป็นดีไซน์ที่เรียกว่าไม่ชอบก็เกลียดกันไปเลย

ก่อนหน้านี้ Hamann เคยโชว์ผลงานแต่ง M5 ในชื่อ Mi5Sion ที่เจนีวา มอเตอร์โชว์ซึ่งได้เสียงตอบรับจากผู้เข้าชมงานได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับ M5 เวอร์ชั่นล่าสุดที่เห็นในภาพซึ่งออกโชว์ตัวที่ Auto Trader Live งานแสดงยานยนต์สุดหรูในดูไบ มาพร้อมกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกันชนด้านหน้า กระจังหน้า ฝากระโปรง สปอยเลอร์หลัง สเกิร์ตข้าง กันชนท้ายและแผงดิฟฟิวเซอร์
ชุดแอโรพาร์ททรงดุและสีสันตัวถังโทนแดงสดอมชมพูอาจไม่แปลกตาเท่ากับการตกแต่งในห้องโดยสารด้วยวัสดุหนังพรีเมียมสลับ Alcantara สีดำสลับแดงและฟ้าอ่อน เป็นการผสานเฉดสีที่หลายคนเห็นแล้วอาจส่ายหัว
Hamann ผลิต M5 รุ่นพิเศษนี้ออกจำหน่ายในดูไบ 10 คัน สนนค่าตัวมหาศาลถึง 235,000 เหรียญสหรัฐฯ

BMW 1-Series หล่อเนี๊ยบเรียบง่ายโดย Lumma Design


Lumma Design เปิดตัวชุดบอดี้คิทเสริมความหล่อเหลาให้ยนตรกรรมเยอรมันรุ่นเล็กอย่าง BMW 1-Series (ตัวถัง F20)

ที่ผ่านมา 1-Series ถูกมองว่าเป็นรถที่มีหน้าตาไร้แรงดึงดูดที่สุดในไลน์ผลิตภัณฑ์ของ BMW ด้วยดีไซน์ด้านหน้าที่ไม่ค่อยเข้าตาแฟนๆเท่าใดนัก สำนัก Lumma Design จึงต้องการยกระดับความหล่อของแฮทช์แบ็กคันนี้ด้วยการติดตั้งลิ้นสปอยเลอร์หน้าเพิ่มเติม
ตัวรถถูกโหลดให้เตี้ยลงอีก 35 มม.จากการใช้สปริงแบบพิเศษ พร้อมเติมแต่งความโฉบเฉี่ยวด้วยการคาดสีดำแดงเพิ่มที่แผงประตูด้านข้างตัวรถ แต่ลูกค้าสามารถสั่งสีสันได้หลากหลายรูปแบบเพื่อให้เข้ากับสีตัวรถตามแต่ความต้องการ
ในห้องโดยสารมีแป้นเหยียบอลูมิเนียมสีอโนไดซ์ พร้อมด้วยพรมปูพื้นแบบพิเศษประทับโลโก้ Lumma Design ปิดท้ายด้วยการสวมล้ออัลลอยสีเทาขนาด 18 นิ้วสวยงามพอดีซุ้ม หุ้มด้วยยาง 215/40 R18 เท่านี้ก็หล่อเนี๊ยบขับไปไหนไม่อายใคร

McLaren วางแผนผลิตรถซูเปอร์คาร์รุ่นเริ่มต้น เล็กกว่า MP4-12C


เวบไซต์ Motor Trend รายงานข่าวร้อนที่น่าจับตามองว่า McLaren เตรียมเปิดตัวรถสปอร์ตรุ่นใหม่ มีตำแหน่งการตลาดต่ำกว่า MP4-12C

รถสปอร์ตรุ่นใหม่ดังกล่าวจะเป็นผลิตภัณฑ์ลำดับที่สามของค่าย McLaren มีรหัสเรียกขานว่า P13 เป็นรถสปอร์ตสองที่นั่ง รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน โดย McLaren เชื่อว่าเมื่อเปิดตัวออกมาแล้วจะสามารถทำยอดขายสูงสุดให้แก่บริษัท โดยประเมินว่าจะอยู่ที่ราว 2,000 – 2,500 คันต่อปี
สำหรับค่าตัวจะต่ำกว่า 200,000 เหรียญสหรัฐฯเพื่อไม่ให้ขึ้นไปทับไลน์กับ MP4-12C ซึ่งเริ่มต้นที่ 250,000 เหรียญฯ ใต้ฝากระโปรงจะใช้ขุมพลัง V8 ทวินเทอร์โบ บล็อกเดียวกับ MP4-12C แต่จะถูกโมดิฟายด์ให้มีแรงม้าไม่เกิน 500 ตัว
รูปลักษณ์ภายนอกจะถ่ายทอดความปราดเปรียวมาจากซูเปอร์คาร์รุ่นท็อปอย่าง P1 ที่เพิ่งเปิดตัว โดยจะเน้นความแอโรไดนามิก ติดตั้งหลอดไฟ LED มีความโค้งมนสูง ทั้งนี้สื่อหลายสำนักเชื่อว่า McLaren จะเผยโฉมรถสปอร์ตรุ่นใหม่นี้ภายในปีหน้า

เพื่อแฟนม้าลำพอง ชมเบื้องหลัง LaFerrari ระหว่างถ่ายทำวีดีโอโปรโมท


Ferrari ยังคงสร้างกระแสให้ไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดปล่อยวีดีโอเบื้องหลังการถ่ายทำ 2013 LaFerrari ออกมาให้แฟนม้าลำพองได้ติดตามและฟังเสียงเครื่องยนต์เพราะๆกันอีกครั้ง

ต้องยอมรับว่า LaFerrari ดูสวยสดงดงามยิ่งขึ้นทุกวัน นับตั้งแต่สาธารณชนได้ยลโฉมครั้งแรกที่งานเจนีวา มอเตอร์โชว์ สำหรับกำหนดการส่งมอบให้ลูกค้าจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้โดยมีจำนวนการผลิตจำกัดเพียง 499 คันเท่านั้น มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1.69 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
LaFerrari ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง V12 ความจุกระบอกสูบ 6,262 ซีซี ให้พละกำลัง 800 แรงม้า แรงบิด 700 นิวตันเมตรประกบด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลัง 163 แรงม้า แรงบิดอีก 270 นิวตันเมตร ทำให้พละกำลังสูงสุดของ LaFerrari อยู่ที่ 963 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ได้ในเวลาไม่ถึง 3 วินาที ท็อปสปีดทะยานไปได้มากกว่า 350 กม./ชม.

Shelby Mustang 1000 S/C อัพเกรดสุดโหด 1,200 แรงม้า ท้าแข่ง Bugatti Veyron


หาก Shelby GT500 รุ่นสแตนดาร์ด ขุมพลัง 662 แรงม้ายังไม่แรงสะใจใครหลายคน Ford และ Shelby ได้ผนึกกำลังกันอัพเกรดขุมพลังเพิ่มเติมในชื่อรุ่น “1000 S/C” ที่พัฒนาบนพื้นฐานของ GT500 มาพร้อมแรงม้าสุดโหด 1,200 ตัว เตรียมอวดโฉมครั้งแรกที่งานนิวยอร์ก ออโต้โชว์ กลางสัปดาห์นี้

เครื่องยนต์ของ 1000 S/C ถูกขยายความจุเพิ่มจาก 5.4 ลิตร เป็น 5.8 ลิตร พร้อมเสริมความแข็งแกร่งลูกสูบ ก้านสูบและข้อเหวี่ยง รวมถึงอัพเกรดระบบซูเปอร์ชาร์จและระบบหล่อเย็นใหม่ ทำให้ขุมพลังทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพภายใต้อุณหภูมิที่พอเหมาะ
2013 Shelby Mustang 1000 S/C ยังได้รับการปรับแต่งช่วงล่างและระบบเบรกใหม่หมดจดเพื่อรักษาเสถียรภาพการทรงตัวและการเกาะถนนให้เหนียวแน่นรองรับความแรง
ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอัตราเร่ง แต่คาดว่า Mustang 1000 S/C จะเป็นรถอเมริกันมัสเซิลคาร์ที่ทรงพลังที่สุดในเซกเมนท์นี้ เคาะค่าตัว 154,995 เหรียญสหรัฐฯ มีจำนวนการผลิตจำกัดเพียง 100 คันเท่านั้น
“รถคันนี้ไม่ได้มีเฉพาะพละกำลังอันมหาศาลเท่านั้น แต่ยังตอบสนองการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม มีความปราดเปรียว เข้าโค้งได้แม่นยำ เกาะถนนแน่นหนีบโดยแทบปราศจากอาการส่ายโคลง ขณะเดียวกันยังให้ความสะดวกสบายในการขับขี่บนถนนในเมืองอีกด้วย” Vince LaViolette นักขับรถทดสอบของ Shelby กล่าว

Roll-Royce Art Deco Collection เผยโฉมครั้งแรกในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์



วันที่ 26 มีนาคม 2556 - กรุงเทพฯ
  • ยนตรกรรมอาร์ต เดคโค คอลเลคชั่น หนึ่งในบริการบีสโป๊ก เผยโฉมครั้งแรกในงานบางกอก           อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์
  • รถยนต์รุ่นโกสต์ อาร์ต เดคโค เป็นหนึ่งในจำนวนเพียง 35 คันทั่วโลก
  • การเปิดตัวครั้งนี้สอดคล้องกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับรถยนต์ที่สั่งทำพิเศษแบบเฉพาะบุคคล

บริษัท โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส จำกัด เปิดตัวรถยนต์รุ่นโกสต์ อาร์ต เดคโค คันแรกที่จะขายในประเทศไทย ณ งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34  ยนตกรรมหรูที่งดงามคันนี้สะท้อนถึงคุณลักษณะและการลงรายละเอียดของบริการสั่งทำพิเศษ และเป็นหนึ่งในรถยนต์อาร์ต เดคโค ลิมิเตด เอดิชั่น ซึ่งมีเพียง 35 คันทั่วโลก

นอกจากนี้ ยังมีรถยนต์โรลส์-รอยซ์อีก 3 รุ่นที่เป็นผลงานอันโดดเด่นของตราสินค้า (แบรนด์) ได้แก่ แฟนธอม แฟนธอมรุ่นขยายฐานล้อ และโกสต์รุ่นขยายฐานล้อ ได้ถูกนำมาจัดแสดงโดยโรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส        แบงคอก (บริษัท มิลเลียนแนร์ ออโต้ แอนด์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด) ผู้จำหน่ายรถยนต์โรลส์-รอยซ์อย่างเป็นทางการในประเทศไทย  โดยหลังการเปิดตัวโชว์รูมโรลส์-รอยซ์แห่งแรกในประเทศไทยบนถนนพระราม 3 ที่ผ่านมา โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอกจะเปิดโรลส์-รอยซ์บูติคในศูนย์การค้าสยามพารากอนภายในปีนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าของโรลส์-รอยซ์ในการชมและสั่งทำรถยนต์เฉพาะบุคคล

มร.เฮอร์ฟรีด ฮัสนัล ผู้จัดการทั่วไปตลาดใหม่ประจำภาคพื้นเอเซีย บริษัท โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่จะนำเสนอรถยนต์รุ่นลิมิเตด เอดิชั่นเป็นครั้งแรกในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์  รถยนต์โรล์-รอยซ์ของเราเป็นสุดยอดแห่งยนตรกรรมแบบสั่งทำพิเศษเฉพาะบุคคล และด้วยการออกแบบในสไตล์อาร์ต เดคโค ซึ่งสะท้อนให้เห็นศิลปวัฒนธรรมของไทยและในภูมิภาคเอเซีย รถยนต์อาร์ต เดคโค เป็นเครื่องหมายของความสามารถของบริการสั่งทำพิเศษเฉพาะบุคคลที่ไร้ข้อจำกัดเมื่อคุณสั่งซื้อรถยนต์โรลส์-รอยซ์  เรามีความภาคภูมิใจที่จะจัดแสดงรถยนต์คันนี้ภายในงานแสดงยานยนต์ที่โด่งดังที่สุดงานหนึ่งในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้”

“ด้วยความสนใจที่เพิ่มขึ้นในบริการสั่งทำพิเศษของโรลส์-รอยซ์ และการเปิดตัวของรถยนต์รุ่นเรธเมื่อไม่นานมานี้  เราหวังว่าจะได้รับการตอบรับและมีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของรถยนต์โรลส์-รอยซ์ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง” มร. ฮัสนัล กล่าวเสริม

นายฉัตวิทัย ตันตราภรณ์ ผู้จัดการทั่วไป โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส แบงคอก กล่าวว่า “นับเป็นช่วงเวลาที่น่ายินดีของบริษัทฯ เมื่อเราก้าวเข้าสู่ปีที่สองของการดำเนินงานในฐานะผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของรถยนต์โรลส์-รอยซ์ในกรุงเทพฯ  เรายังคงไว้ซึ่งคุณภาพของการบริการเพื่อตอบสนองต่อการคาดหวังในด้านมาตรฐานของแบรนด์  รถยนต์อาร์ต เดคโคจึงเป็นทางหนึ่งที่แสดงถึงความสามารถในการให้บริการสั่งทำพิเศษเฉพาะบุคคลของโรลส์-รอยซ์ เพื่อสร้างสรรค์ยนตกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้แก่ลูกค้าของเรา”

อาร์ต เดคโค
รถยนต์อาร์ต เดคโค คอลเลคชั่น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากกระแสความเคลื่อนไหวในศิลปะด้านการออกแบบแห่งศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นการระลึกถึงงานนิทรรศการในกรุงปารีสปีค.ศ. 1925 หรือที่ชื่องาน Exposition Internationale des Arts Décoratifs et Industriels Modernes ซึ่งเป็นสถานที่ให้กำเนิดชื่อศิลปะด้านการออกแบบในแนวอาร์ต เดคโค

“อาร์ต เดคโค” เป็นสไตล์แห่งศิลปะที่ผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างลวดลายกระจกแก้วคริสตัลอันล้ำสมัยที่สื่อถึงความคลาสสิกของกรีก และโบราณวัตถุของอียิปต์กับยุคแห่งเครื่องจักรกล และการปรับรูปลักษณ์ยานยนต์ให้ทันสมัยขึ้น ซึ่งมีอิทธิพลต่องานออกแบบแขนงต่างๆ อาทิ สถาปัตยกรรม การออกแบบยานยนต์ การตลาด งานเซรามิคและการผลิตเฟอร์นิเจอร์

อาร์ต เดคโค ในประเทศไทยมีให้เห็นทั่วไปโดยรอบ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ  ที่มีสถานที่และอาคารที่ได้รับอิทธิพลด้านการออกแบบจากอาร์ต เดคโคที่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ได้แก่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และโรงละครศาลาเฉลิมกรุง เป็นต้น

เกี่ยวกับ โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส
บริษัท โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส จำกัด เป็นผู้นำด้านการผลิตรถยนต์หรู และบริการสั่งทำรถยนต์เฉพาะบุคคล (Bespoke)

รถยนต์โรลส์-รอยซ์ทุกคัน ได้รับการผลิตด้วยมือโดยสุดยอดช่างผู้ชำนาญงานในด้านต่างๆ ที่ต้นกำเนิดของรถยนต์โรลส์-รอยซ์ ในกู้ดวูด ประเทศอังกฤษ

รถยนต์โรลส์-รอยซ์แต่ละคัน ผ่านมือช่างผู้ชำนาญงานกว่า 60 คู่ และใช้เวลากว่า 1-6 เดือนในการผลิต ด้วยความอุตสาหะเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณภาพ ตามคำกล่าวอันโด่งดังของเซอร์ เฮนรี รอยซ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งกล่าวไว้ว่า “จงดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบในทุกสิ่งที่ตนทำ จงดึงเอาด้านที่ดีที่สุดของสิ่งที่มีอยู่ออกมาแล้วทำให้ดียิ่งขึ้น ถ้าสิ่งนั้นไม่มีอยู่ จงสร้างมันขึ้นมา”

โรลส์-รอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส เปิดเผยสถิติการขายในปีพ.ศ. 2555 โดยมีการขายรถยนต์ทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 3,575 คัน ซึ่งเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้น 3 ปีติดต่อกันและที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ ตลอด 108 ปีที่ผ่านมา

ของหายาก Ferrari F40 สาดตัวถังสีขาวหล่อเรียบหรูคันเดียวในโลก


Ferrari F40 เป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่ติดอันดับรถหายากที่สุดในโลก เพราะมีจำนวนการผลิตเพียง 1,315 คันเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้นผ่านฝีมือการโมดิฟายด์ของสำนักแต่งญี่ปุ่น Liberty Walk แบบคันเดียวในโลก

สิ่งแรกที่สะดุดตาอย่างมากก็คือสีตัวถังขาวนวลเนียน ถือว่าเป็นสิ่งแปลกตาอย่างมาก เพราะ F40 ทุกคันที่ออกจากโรงงานผลิตมาพร้อมสีแดงเพลิงเอกลักษณ์ของแบรนด์ม้าลำพองทั้งสิ้น
สำนัก Liberty Walk ตกแต่งซูเปอร์คาร์อิตาเลียนคันนี้ด้วยสไตล์คล้ายคลึงกับการปรับแต่งรถสปอร์ตญี่ปุ่นรุ่นเก่า นั่นคือเน้นความคลาสสิกและเรียบหรู พร้อมสมรรถนะที่เฉียบขาด
Liberty Walk ยังปรับดีไซน์กันชนหลังใหม่ พร้อมติดตั้งคาลิเปอร์เบรก Brembo ขนาดแปดสูบ นอกจากนี้ยังเปลี่ยนสปอยเลอร์ พร้อมกับเสริมช่วงล่างถุงลมหรือ air suspension แบบปรับระดับและความนุ่มนวลได้
ชมวีดีโอความหล่อของ Ferrari F40 สีขาวด้านล่างได้เลย

Weber F1 รถสปอร์ตสัญชาติสวิส 1,200 แรงม้า ท็อปสปีดระดับ 400 กม./ชม.


Weber ค่ายรถสปอร์ตจากสวิสเซอร์แลนด์ เปิดตัว F1 (ย่อมาจาก FasterOne) เวอร์ชั่นโปรดักชั่น หลังจากเคยโชว์ตัวรถต้นแบบมาแล้วเมื่อปี 2008

F1 พัฒนาโดยฝีมือของอดีตนักวิศวกรจาก BMW และทีมแข่ง Sauber F1 ทำการติดตั้งเครื่องยนต์ V10 ความจุกระบอกสูบ 5.6 ลิตร พร้อมทวินเทอร์โบ รีดพละกำลังได้มากกว่า 1,200 แรงม้าที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 1,250 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบ/นาที รถสปอร์ตหน้าตาล้ำยุคคันนี้มีน้ำหนักตัวเพียง 1,250 กก ทำให้อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักเจ๋งสุดๆอยู่ที่ 0.96 แรงม้าต่อกก.
แรงม้าทุกตัวถ่ายลงพื้นด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์กึ่งอัตโนมัติแบบ 6 สปีด พร้อมแป้น paddle shift ที่พวงมาลัย ช่วงล่างเป็นแบบอิสระทั้งสี่ล้อ ขณะที่ระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,900 มม.
Weber F1 ใช้ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 20 นิ้ว สวมยางสมรรถนะสูงของ Pirelli ขนาด 285/25 ZR 20 ที่ล้อหน้าและ 325/25 ZR 20 ที่ล้อหลัง ระบบเบรกคาลิปเปอร์อลูมิเนียมใช้ขนาดมหึมา 12 สูบทำงานคู่กับดิสก์เบรกเซรามิก 380 มม. เอาอยู่แน่นอน
แชสซีส์ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์มีน้ำหนักเพียง 65 กก. ขณะที่ตัวถังทั้งหมดผลิตด้วยวัสดุคาร์บอน ปีกสปอยเลอร์สามารถยกตัวขึ้นในเสี้ยววินาทีช่วยสร้างแรงเบรกได้อีกทางหนึ่ง
สำหรับตัวเลขอัตราเร่งเรียกได้ว่ามหัศจรรย์อย่างยิ่ง Weber F1 สามารถพุ่งออกตัวจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 2.5 วินาที 0-200 กม./ชม.เพียง 6.6 วินาที เร่งจาก 0-300 กม./ชม.ใน 16.2 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดทะยานไปได้ทะลุหลัก 400 กม./ชม.
สายการผลิตจะเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน สำหรับราคาจำหน่ายจะได้รับการประกาศอีกครั้ง

สาวกเฮ Lexus คอนเฟิร์มไฟเขียวสายการผลิต LF-LC Sports Concept


Lexus หยุดทุกการคาดเดาของสื่อมวลชน เมื่อออกมาประกาศว่า ทีมผู้บริหารได้ให้ไฟเขียวสายการผลิต LF-LC Concept แล้ว หลังจากได้เสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากงานมอเตอร์โชว์ทั่วโลก

ข่าวนี้ได้รับการยืนยันโดย Brian Smith รองประธานฝ่ายการตลาดของ Lexus ที่ให้สัมภาษณ์เวบไซต์ WardsAuto ว่า “จริงๆแล้ว LF-LC Sports Concept ถูกพัฒนาให้เป็นรถต้นแบบอย่างเดียว ผมคิดว่าทุกคนคงแปลกใจเมื่อบอร์ดบริหารในญี่ปุ่นให้คำยืนยันว่าจะขึ้นสายการผลิตจริงเพราะได้เสียงตอบรับที่ดีเยี่ยม ถือเป็นก้าวแรกแห่งความสำเร็จครั้งสำคัญ”
อย่างไรก็ดี Smith ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมได้ ทั้งกำหนดการเปิดตัวออกจำหน่ายและรายละเอียดของขุมพลังขับเคลื่อน แต่รถต้นแบบรุ่นนี้ใช้ระบบไฮบริดผสมเบนซิน-ไฟฟ้า ผลิตพละกำลังให้ใช้ถึง 499 แรงม้า
หลังจากซูเปอร์คาร์สุดงามอย่าง LFA ยุติสายการผลิตไปแล้ว LF-LC คันนี้จะเป็นรถสปอร์ตรุ่นท็อปคันต่อไปของ Lexus ในอนาคตอันใกล้อย่างแน่นอน
นอกจากนี้ รถสปอร์ตต้นแบบอีกหนึ่งรุ่นของ Lexus อย่าง LF-CC จะถูกผลิตเป็นรถไลน์ IS เวอร์ชั่นคูเป้ออกจำหน่ายในไม่ช้า

เปิดตัวนิตยสาร Fast Bikes Thailand นิตยสารมอเตอร์ไซค์ ที่ขายดีที่สุดในอังกฤษ


วันที่ 28 มีนาคม 2556 ได้ฤกษ์สำหรับชาวสองล้อ กับการเปิดนิตยสารมอเตอร์ไซค์ ที่ขายดีที่สุดในอังกฤษ Fast Bikes แต่เป็นเวอร์ชั่นไทย ซึึ่ง โพสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล มีเดีย ได้ซื้อลิขสิทธิ์เข้ามาเพื่อจัดทำเป็นเวอร์ชั่นภาษาไทย เพื่อเอาใจหนุ่มๆ อายุ 22-65 ปี โดยในนิตยสารจะมีเนื้อหาต่างประเทศ 70% และไทย 30% มียอดพิมพ์ 5 หมื่นเล่ม วางจำหน่ายทุกศุกร์ต้นเดือน โดยเริ่มฉบับแรกเมษายนนี้

สำหรับนิตยสาร Fast Bikes Thailand นี้ จะมอบความรู้ เนื้อขา ข้อมูลแบบเจาะลึก ตรงไปตรงมา เกี่ยวกับมอเตอร์ไซค์ ซึ่งจะชูจุดเด่นในเรื่อง Test Ride ทดสอบรถในรูปแบบต่างๆ และ คอลัมน์ Launch ทดสอบรถที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ Life of Bikes สอนการขับขี่ที่ถูกต้อง ตอบปัญหาเทคนิค ตลอดจนกฎหมายจราจร ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ผู้รักสองล้อได้อย่างครอบคลุม โดยเฉพาะกลุ่มผู้เล่น Big Bike
Fast Bikes Thailand ได้ฤกษ์วางแผง 28 มีนาคม นี้เป็นฉบับแรก

Hyundai Grand Starex Premium คว้ารางวัล “Best MPV” ในงาน Car of the Year 2013


28 มีนาคม 2556 – มร. โยชิอากิ อิชิมูระ ประธานบริษัท บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ขึ้นรับรางวัลเนื่องในโอกาส Hyundai Grand Starex Premium รถยนต์ Super Luxury MPV แบบ 7 ที่นั่ง สามารถคว้ารางวัล “Best MPV” จากงานมอบรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี Car of the Year 2013 ซึ่งเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย และเป็นเครื่องยืนยันความเป็นที่สุดแห่งสมรรถนะ และความสะดวกสบาย ที่มาพร้อมความหรูหราใน Grand Starex Premium โดยมีคุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้มอบรางวัล

Hyundai Grand Starex Premium เป็นรถ Luxury MPV 7 ที่นั่ง สำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่ชอบความสะดวกสบายในการเดินทาง ใช้เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรลเทอร์โบ 2500 ซีซี 175 แรงม้า พร้อมเบาะแบบ Super VIP ที่ปรับเอนนอนด้วยไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง และอุปกรณ์ความสะดวกสบายอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้ Grand Starex Premium เป็นรถยนต์ระดับหรูหราของครอบครัวพรีเมี่ยมยุคใหม่
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.hyundai-motor.co.th

Nissan รถยนต์คุณภาพ คว้า 3 รางวัล “CAR OF THE YEAR 2013” – Sylphy, Almera, Teana

กรุงเทพมหานคร (29 มีนาคม 2556) – คุณประพัฒน์ เชยชม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและขาย คุณจิระพล รุจิวิพัฒน์ รองผู้จัดการใหญ่การตลาด และคุณกิตติชัย เจริญชัยวาณิชย์ ผู้จัดการทั่วไปสื่อสารการตลาด บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นรับรางวัล “CAR OF THE YEAR” ในงานประกาศผลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2556 จัดขึ้นโดย บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จากงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34 โดยในครั้งนี้ รถยนต์นิสสัน ได้รับรางวัลทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ นิสสัน ซิลฟี ได้รับรางวัล “BEST SEDAN UNDER 1,600 CC” นิสสัน อัลเมร่า ได้รับรางวัล “BEST SEDAN UNDER 1,200 CC”เป็นปีที่ 2 และนิสสัน เทียน่า ได้รับรางวัล “BEST MID-SIZE SEDAN UNDER 2,500 CC” เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน


บรรยากาศเล็กน้อยกับงาน Mitsubishi Top Speed Drag Racing 2013


และแล้วก็เพิ่งผ่านพ้นไปกับงาน Mitsubishi Top Speed Drag Racing 2013 ณ สนามแข่งรถ Bangkok Drag Avenue คลอง 5 กันไปเรียบร้อยในวันนี้
ซึ่งงานนี้ถือเป็นวันรวมญาติของสาวก มิตซู กับการแข่งขันหารถเร็วแรงในรูปแบบ Drag Racing จัดโดยนิตยสาร XO Autosport 

โดยในงานนี้ได้เปิดโอกาสให้รถยนต์ Mitsubishi ไม่ว่าจะเก่า-ใหม่ แต่ง, เดิมๆ ไปจนถึงรถยนต์ที่วางเครื่อง Mitsu ก็สามารถลงแข่งกันได้แทบทุกคัน โดยเริ่มตั้งแต่รุ่น Bracket ซึ่งเป็นการแข่งขันแบบ Time Attack รวมไปจนถึง รุ่น Lady ที่ให้กำหนดเวลาวิ่งกันเอง, Eco Car for Mirage ไปจนถึงรุ่นโปรท้งหลาย ไม่ว่าจะ Production Car, Street N/A, Street Open, Street 2WD, Under1500, Under1800 จนถึงรุ่น Mitsubishi Top Speed และนอกจากนั้นยังมีรุ่นคาใจ และปิดท้ายด้วยการสมัครเข้าร่วมประกวดรถสวยงาม
นอกจากนั้นยังจะได้พบกับรถยนต์แต่งเทพจากสำนัก, อู่ต่างๆ ไปจนบูทสินค้าที่มาการนำสินค้ามาจัดจำหน่าย และยังมีพริตตี้สาวสวยอีกด้วย

ชมสองรถต้นแบบ ก่อนพัฒนาเป็นดีไซน์สุดท้ายของ LaFerrari


หากใครสงสัยว่าสุดยอดซูเปอร์คาร์ LaFerrari มีพัฒนาการด้านดีไซน์อย่างไร ลองชมวีดีโอที่โพสต์โดยผู้ใช้นามว่า Marchettino ซึ่งเก็บภาพรถต้นแบบของ LaFerrari ภายในพิพิธภัณฑ์ Ferrari Museum มาให้แฟนม้าลำพองได้ชมกัน

Ferrari พัฒนารถต้นแบบของ LaFerrari จำนวนทั้งหมดถึงเก้ารุ่น แต่มีเพียงสองรุ่นเท่านั้นที่ได้รับไฟเขียวให้ทดลองผลิตในอัตราส่วน 1:1 ก่อนที่จะมีการพัฒนาและสรุปรูปลักษณ์ในขั้นตอนสุดท้ายและขึ้นสายการผลิตจริงออกมาเป็นรุ่นโปรดักชั่นอย่างที่เราได้ยลโฉมกัน
สำหรับโมเดลต้นแบบรุ่นแรกมีชื่อว่า Tensostruttura ซึ่งถูกผลิตขึ้นเมื่อสองปีก่อน ขณะที่อีกหนึ่งรุ่นมีชื่อว่า Manta ที่สะดุดตาด้วยกรอบไฟหน้ารูปทรงคล้ายบูมเมอแรง
รายงานข่าวระบุว่า เมื่อรถต้นแบบทั้งสองรุ่นถูกผลิตขึ้นมาเพื่อการศึกษาวิจัย ทีมผู้บริหารและดีไซเนอร์ของ Ferrari เห็นพ้องกันว่าควรจะใช้การออกแบบที่ “ไม่หวือหวาจนเกินไปนัก” และมีรูปทรงที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ของแบรนด์ม้าลำพองไว้เช่นเดิมซึ่งก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีด้วยเสียงตอบรับอันล้นหลามจากผู้เข้าชมงานเจนีวา มอเตอร์โชว์

Volkswagen Golf VII ผงาดคว้าอีกหนึ่งรางวัล “รถยนต์ยอดเยี่ยมโลก 2013”


รถคอมแพกต์แฮทช์แบ็ก Volkswagen Golf VII พิสูจน์ความยอดเยี่ยมอีกครั้งด้วยการคว้ารางวัล“รถยนต์ยอดเยี่ยมโลก 2013” (2013 World Car of the Year) หลังจากก่อนหน้านี้เคยรับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งยุโรปประจำปีนี้มาแล้ว

Golf เจนเนอเรชั่นใหม่ได้รับการยกย่องว่า “เพียบพร้อมความกว้างขวาง ประโยชน์ใช้สอยและความสะดวกสบาย” รวมถึง “การขับขี่ที่เร้าใจ” โดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้สื่อข่าวสายยานยนต์ชั้นนำของโลก 66 คน ให้คำนิยามสั้นๆแต่ได้ใจความว่า “หากจะมีรถสักคันที่เหมาะสำหรับผู้ชายทุกคน ก็ต้องเป็น Golf รุ่นนี้”
สำหรับรางวัลในแขนงรถสมรรถนะสูงยอดเยี่ยมตกเป็นของ Porsche Boxster / Cayman ที่คว้าชัยเหนือซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari F12 Berlinetta และรถสปอร์ตคูเป้ Scion FR-S / Subaru BRZ / Toyota GT 86 หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับรางวัลนี้ แต่คณะกรรมการระบุว่า “Cayman เป็นรถที่มีความสมบูรณ์พร้อม อีกทั้งยังเหนือกว่า 911 ในภาพรวม”
รางวัลอีกหนึ่งแขนงที่น่าสนใจคือรถยนต์ที่มีการออกแบบยอดเยี่ยม ได้แก่ Jaguar F-Type เบียดเอาชนะรถสปอร์ต Aston Martin Vanquish และมิดไซส์ซีดาน Mazda6 โดยคณะกรรมการให้เหตุผลว่า F-Type “มีความปราดเปรียวและความหรูหราอย่างเต็มเปี่ยม”
รางวัลอื่นๆ ยังรวมถึงรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยมได้แก่ Tesla Model S รถพลังไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกาที่เอาชนะ Renault Zoe และ Volvo V60 Plug-in Hybrid ด้วยสมรรถนะที่น่าประทับใจ ระยะทางขับขี่ที่ไกลกว่าและดีไซน์อันมีสไตล์

MICHELIN Pilot Experience 2013 : A real racer moment


เมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้ชื่นชอบความเร็วคงได้ติดตามการแข่งขันFormula 1 ประจำถดูกาล 2013 ในสนามที่สองที่จัดขึ้นที่ประเทศมาเลเซียเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าหลายคนที่ดูผ่านจอคงอยากจะมีโอกาสสัมผัสประสบการณ์การขับขี่บนสนามแห่งนี้สักครั้งหนึงในชีวิตอย่างแน่นอน
และอีกไม่นานคุณอาจจะเป็นผู้โชคดีที่ได้มีโอกาสกระโดดจากหน้าจอโทรทัศน์ เข้าไปอยู่ในสนามพร้อมขับรถแข่งระดับโลก
เมื่อ MICHELIN กลับมาอีกครั้งกับ “MICHELIN Pilot Experience 2013” หรือ MPE  ที่จะพาผู้โชคดีบินไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อพบกับประสบการณ์การขับขี่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตบนสนาม Sepang International Circuit หนึ่งในสนามแข่งรถ Formula 1 ระดับโลก
ที่มาของงาน MPE 2013 มาจากที่ MICHELIN ให้ความสำคัญกับวงการมอเตอร์สปอร์ตมาอย่างยาวนานและประสบความสำเร็จนานกว่าศตวรรษ คว้ารางวัลมากมายในการแข่งขันรายการใหญ่ๆ เช่น การแข่งขัน F1, Le Mans, WRC, World Endurance, Super GT และ Touring Car Championship
จากความสำเร็จที่กล่าวมา MICHELIN ต้องการให้ผู้คนทั่วไปได้มีส่วนร่วมรับรู้ถึงเทคโนโลยีและความเป็นผู้นำในสนามแข่งขัน ที่ซึ่งยางได้รับการถ่ายทอดนวัตกรรมจากสนามแข่งสู่การใช้งานจริงบนถนน  ทำให้ MICHELIN ได้เริ่มจัดงาน MICHELIN PILOT EXPERIENCE ขึ้นมาเพื่อสร้างประสบการณ์ในการขับขี่แบบมืออาชีพ และให้ผู้บริโภครับรู้ถึงสมรรถนะอันสุดยอดของยางMICHELIN
ใน MICHELIN PILOT EXPERIENCE 2013 ผู้เข้าร่วมจะมีโอกาสสวมวิญญาณเป็นนักแข่งมืออาชีพ ได้ทดสอบการขับรถบนสนาม Formula 1 เซปัง ด้วยการขับรถแข่งอย่างรถ Formula MICHELIN รวมถึงรถแข่งประเภทอื่นๆ เช่น Porsche Cup, Renault Clio Cup
และสนามแข่งรถ Rally อย่าง WRC ด้วยการขับรถแข่งแรลลี่ Citroen C2 รวมถึงได้สัมผัสยางแบบมือาชีพหลากหลายประเภท ทั้งแบบ Slick, Pilot Sport Cup, Pilot Super Sport
อีกทั้งคุณยังมีโอกาสได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการขับขี่ ผ่านนักแข่งมืออาชีพที่มีประสบการณ์บนเวทีต่างๆมากมายทั่วโลก และ อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่จากที่การันตีเรื่องความปลอดภัยอย่างแน่นอน
ผู้รักความเร็วที่รอคว้าโอกาสไปร่วมงานนี้ ไม่ต้องรอนานอีกต่อไป เมื่อ MICHELIN เตรียมพาคนไทยผู้โชคดีไปสัมผัสสุดยอดประสบการณ์ล้ำค่าในเดือนสิงหาคมนี้ เตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจของคุณไว้ให้ดี เราเชื่อว่างานนี้จะเปิดโลกแห่งการขับขี่ที่คุณไม่เคยพบมาก่อนอย่างแน่นอน
อย่ารอช้าเข้าไปดูรายละเอียดงานได้ที่ www.michelin.co.th/Campaigns/MPE2013 หรือ MICHELIN Hotline โทร. 02-793-6900

Nissan แย้มซูเปอร์คาร์ GT-R รุ่นใหม่จะ ‘ปลุกพลังไฟ’ ในตัวนักเลงรถทั่วโลก


Jose Munoz รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของ Nissan ออกมาให้ข่าวคราวความคืบหน้าของรถสปอร์ตพันธุ์แรง GT-R อย่างมีนัยยะว่าจะ “ปลุกพลังไฟ” ในตัวแฟนๆที่ติดตามทั่วโลก

“ขอให้ติดตามอย่างใกล้ชิดภายในปีนี้ สำหรับข่าวความคืบหน้าการพัฒนารถ GT-R ที่จะปลุกพลังไฟของนักเลงรถ” Munoz กล่าวโดยใช้คำว่า ‘Electrify’ ซึ่งนั่นหมายถึงรถซูเปอร์คาร์ตัวท็อปของ Nissan รุ่นใหม่อาจมาพร้อมระบบไฮบริดลูกผสมเบนซิน-ไฟฟ้า
ที่ผ่านมามีข่าวหนาหูต่อเนื่องว่า GT-R เจนเนอเรชั่นต่อไปจะออกทำตลาดในปี 2017 หรือ 2018 ซึ่งจะมาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนไฮบริดที่หยิบยืมเทคโนโลยีจากรถต้นแบบ Infiniti Essence หรือ Infiniti M35h
นอกจากนี้ GT-R รุ่นใหม่ยังอาจใช้ระบบลดการทำงานของลูกสูบขณะขับขี่รอบเดินเบาและระบบสตาร์ท-ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเพื่อช่วยประหยัดน้ำมัน พร้อมกับรูปลักษณ์ที่สปอร์ตยิ่งขึ้นกว่าเดิมและช่วยเพิ่มเสถียรภาพการทรงตัวด้วยแรงกดตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่มากขึ้น
หาก Nissan ใช้ขุมพลังไฮบริดจริง ถือเป็นการเดินตามซูเปอร์คาร์รุ่นใหญ่อย่าง Ferrari, McLaren และ Porsche ที่ล้วนใช้ระบบขับเคลื่อนลูกผสมในรถรุ่นท็อปทั้งสิ้น
สำหรับภาพประกอบเป็น GT-R รุ่นต่อไปในจินตนาการของแฟนๆจากทางบ้าน

Mercedes-Benz SL เสริมบอดี้คิทโป่งรอบคันโดย Renown Auto Style


สำนักแต่ง Renown Auto Style กลับมาอีกครั้งด้วยผลงานสไตล์ถนัด คือการเสริมบอดี้คิทแบบตีโป่งรอบคัน คราวนี้ถึงคิวของรถสปอร์ตโรดสเตอร์ Mercedes-Benz SL (ตัวถัง R230)

หลังจากติดตั้งชุดบอดี้คิทรูปทรงดุดันทำให้รถสปอร์ต SL-Class คันนี้มีขนาดความกว้างของตัวถังเทียบเท่ากับซูเปอร์คาร์ Lamborghini Murcielago เลยทีเดียว ขณะที่ล้ออัลลอยใช้ขนาดใหญ่ถึง 20 นิ้วหน้ากว้าง 10.5 นิ้วที่ล้อหน้าและขนาด 21 นิ้ว หน้ากว้าง 13.5 นิ้วที่ล้อหลัง
บอดี้คิททุกชิ้นขึ้นสายการผลิตในสหรัฐอเมริกา โดยใช้วัสดุไฟเบอร์กลาสเสริมพลาสติก (FRP) ผสมผสานเรซินเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งและมีน้ำหนักเบา สไตล์ในภาพรวมคล้ายกับ SL65 AMG Black Series ทั้งนี้ เดย์ไลท์ LED ที่ติดตั้งเพิ่มเติมเข้านั้นเป็นของแต่งของทาง Mercedes-Benz
ขุมพลังใต้ฝากระโปรงถูกอัพเกรดกล่องสมองกล ECU ใหม่ รวมถึงชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ที่หยิบยืมเทคโนโลยีของ Raging Bull Performance ช่วยรีดพละกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 700 แรงม้า

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

Stallions เปิดตัว ToY Siries พร้อมยกทัพ MiNi Series และ SPORT Series ใหม่ถึง 9 รุ่น ในมอเตอร์โชว์นี้


นายเกรียงไกร ลาภจตุรพิธ กรรมการบริหารฝ่ายการตลาด บริษัท พาวเวอร์ สตาเลียน จำกัด ผู้จัดจำหน่ายมอเตอร์ไซด์ สตาเลียน ม้าน้อยสายพันธุ์ไทย ผู้นำมอเตอร์ไซค์มินิ จดทะเบียนเป็นรายแรกของเมืองไทย หนึ่งในธุรกิจ SME ตีแตก และเป็นผู้จัดการแข่งขัน WORLD RECORDS “Stallions Mini Ride Up baiyok tower2 84 Floor (Tallest in Thailand )” “ขี่ขึ้นฟ้า ท้า บันทึกโลก” ชิงถ้วยพระราชทาน จากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร โดยงานนี้ ทางกินเนสส์บุ๊ค (Guinness Boss of World Records) ได้เข้าร่วมบันทึกสถิติ ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลกในการขับขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นตึกใบหยก 2 ที่มีความสูงถึง 84 ชั้น หรือ 304 เมตร ซึ่งเป็นตึกที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย
ทางสตาเลียนได้ร่วมลงทุนสร้างและพัฒนาเครื่องยนต์ ร่วมกับพันธมิตร SKYTEAM ผู้นำด้านรถ มินิ ไบค์ในยุโรป และบริษัทฯ JIANSHE (เจี้ยนเช่อร์) เทคโนโลยีญี่ปุ่น และเป็นบริษัทฯร่วมทุนกับแบรนด์ชั้นนำของญี่ปุ่น และบริษัทฯ Dayang (ต้าหยาง) ซึ่งมีเทคโนโลยีญี่ปุ่น โดยทั้งสองบริษัทฯ อยู่ในกลุ่ม The China South Industries Group Corporation ยักษ์ใหญ่แห่งยานยนต์โลก โดยมี (SCD Team) STALLIONS CREATIVE & DEVELOPMENT ดีไซน์พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเยี่ยมผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์เทคโนโลยี ญี่ปุ่นกับดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างลงตัว การก้าวย่างเข้าปีที่ 4 ของสตาเลียนตนมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะบริษัทสามารถก้าวสู่ความเป็นผู้นำรถมินิไบค์ และครองความเป็นแชมป์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้บริษัทฯปรับโครงสร้างการบริหารเสริมศักยภาพและเพื่อความกระชับฉับไว ในการบริหารโดยมีคุณอารีรัตน์ ศรีประทาย มาดูแลในตำแหน่ง CEO เพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความเป็นเลิศ พร้อมเดินเครื่องการผลิตในไตรมาสสองของปีนี้
สำหรับผลิตภัณฑ์ สตาเลียนได้พัฒนาฉีกแนวมอเตอร์ไซค์แบบเดิมๆโดยฝีมือคนไทย เป็นยนตรกรรมระดับโลก สร้างความมั่นใจด้านคุณภาพ และรูปลักษณ์ที่ไม่เป็นรองใคร ในราคาสบายกระเป๋า ซึ่งสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ใหม่ได้เป็น 3 ซีรี่ส์ 9 แบบ ได้แก่
MiNi Series กับสุดยอดนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของ SCD Team
1.Solo RS MiNi Sport NAKED
โดดเด่นด้วยดีไซน์เนกเกด NAKED คมเข้มตั้งแต่หัวจรดท้าย ไฟหน้าตาเพชรผสานไฟหรี่แบบเลนส์โปรเจคเตอร์ ถังน้ำมันเสริมการ์ดข้าง เพิ่มความโฉบเฉี่ยวรับกับอันเดอร์คาวริ่งที่แหลมเน้นความสปอร์ตเปลือยสาย พันธุ์ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 จังหวะ 125 ซีซี บาลานเอนจิน เทคโนโลยีญี่ปุ่น ให้พละกำลังแรงเกินตัว แข็งแกร่งด้วยโครงสร้างถังเหล็กเหลี่ยมขนาดใหญ่
2.SM 125 มินิโมตาร์ด เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 125 ซีซี ดับเบิ้ลคลัทช์ เทคโนโลยีญี่ปุ่น ที่ให้ความดุดันเร้าใจใน
สไตส์ย่อส่วนมาจากซูเปอร์โมตาร์ด 250 ซีซี ชื่อดังระดับโลก ดีไซน์สวยคมตั้งแต่คาวริ่งหน้า ปีกครอบถังน้ำมันและช่วงท้ายที่รับกันอย่างลงตัว จุดเด่นที่เหนือกว่ามินิมาร์ด โครงสร้างตัวถังท่อเหล็กกลมสานไขว้แบบสเปซเฟรมสไตล์ยุโรป ระบบกันสะเทือนหน้าอัพไซด์ดาวน์สามารถปรับความหนืดในการคืนตัวของแกนโช้คอัพ ได้ พร้อมด้วยโช้คอัพหลังขนาดใหญ่ สวิงอาร์มและวงล้อหน้าหลังอะลูมิเนียมขนาดใหญ่ นี่คือสุดยอดของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหนือชั้นผสานกับที่สุดของความคุ้มค่า ด้านราคาเมื่อเปรียบเทียบกับมินิโมตาร์ดทั่วไปในขณะนี้
3.DX125 ม้าน้อยแสนเท่ห์ ที่มีเอกลักษณโดดเด่นไม่ซ้ำใคร เฟรมปั้มขึ้นรูปแข็งแรง เบาะยาว นั่งซ้อนสบาย เป็นที่นิยมเป็นอย่างมากมายยุโรป มาพร้อมกับเครื่องยนต์ที่ได้รับการพัฒนาใหม่ 4 จังหวะ 125 ซีซี แบบดับเบิ้ลคลัช เทคโนโลยีญี่ปุ่น ระบบสตาร์ทเท้าและไฟฟ้า โช๊คอัพหน้าเทเลสโคปิก โช๊คอัพหลังคู่ หน้ายางใหญ่ทรงตัว รับน้ำหนักเหลือเฟือ การทรงตัวเยี่ยม ขับขี่สบายนุ่มนวล พร้อมติดตั้งชุดยางกันกระชาก ทำให้การขับขี่นิ่มนวลขึ้น ล้อแม็กซ์อลูมิเนียมอัลลอยด์พร้อมยางจุ๊บเลส เทคโนโลยีใหม่เฉกเช่นรถยนต์
SPORT Series 150 cc
4.Centaur Café Racer สตาเลียน เซนทอร์ 150 คาเฟ่เรเซอร์สปอร์ตย้อนยุคในตำนานที่ถูกสานฝันให้กลายเป็นจริงในวันนี้ มันคือสุดยอดแห่งความคลาสสิคที่เหนือกว่ารถคลาสสิกรุ่นใดๆ โดดเด่นด้วยดีไซน์สไตล์คาเฟ่เรเซอร์ ถังน้ำมันเสริมแผ่นยางบ่งบอกถึงความเป็นอมตะ เบาะนั่งตูดมดสไตล์รถแข่งในอดีต เหนือชั้นด้วยกันสะเทือนหน้าแบบอัพไซด์ดาวน์ พร้อมด้วยกระจกส่องหลังติดตั้งไว้ที่ปลายแฮนเดิลบาร์ เท่ห์สุดๆในแบบที่ไม่มีผู้ผลิตรายใดเคยนำเสนอมาก่อน เครื่องยนต์ 4 จังหวะ 150 ซี.ซี. ให้พลังความแรงและความประหยัดที่ยอดเยี่ยม นี่คือสปอร์ตคลาสสิกแห่งความฝันที่สามารถจับต้องได้ในราคาที่เป็นจริง
SPORT Series 125 cc กับเครื่องยนต์ YBR 4 จังหวะ 125 ซีซี บาลานเอนจิน เทคโนโลยีจากญี่ปุ่น ที่มีมาให้เลือก 3แบบ3สไตล์
5.PoLo Classic 125 มาดเท่ห์ คลาสสิคย้อนยุค ทางเลือกให้แฟนพันธุ์แท้บิ๊กไบค์ ย่อส่วน
6.PoLo SPORT 125 มาดเข้ม ประหยัด ทนทาน สมบุกสมบัน
7.PoLo CUSTOM 125 เปิดมุมมองใหม่สู่วิถีทางของการขับขี่ระดับผู้นำ
สำหรับน้องใหม่ล่าสุด Stallions ToY Series ม้าน้อยตัวจิ๋ว ครั้งแรกของเมืองไทย กับมอเตอร์ไซด์ขนาดจิ๋วย่อส่วนไว้ขับขี่เล่นใน ยามว่าง หรือนำพาติดรถไปขับขี่พักผ่อนนอกสถานที่ได้ เป็นของเล่นชิ้นใหม่ ของคนมีระดับเช่นคุณ
8.ToY S50 ต้นกำเนิดตำนานรถฉบับมินิ ที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ถังขนาดเล็กกับเครื่องยนต์ 4 จังหวะ 50 ซีซี ล้อ 8 นิ้วยางออฟโรด 9.ToY MTX50 รถวิบากขนาดจิ๋ว ที่จะให้คุณพกพาไปสนุกได้ทุกที่กับเครื่องยนต์ 4 จังหวะ 50 ซีซี ล้อ 8 นิ้วยางออฟโรด กับราคาที่แสนจะสบายกระเป๋า
นายเกรียงไกรกล่าวต่อว่า ทั้งหมดคือมินิไบค์ ในหลากหลายเซ็กเมนท์ที่คัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้รักและชื่น ชอบมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กซึ่งสามารถจดทะเบียนได้ ขับขี่บนท้องถนนได้อย่างปลอดภัยไร้ข้อจำกัด ผู้ชื่นชอบมอเตอร์ไซค์มินิสามารถเลือกซื้อและสัมผัสในทุกรุ่นได้อย่างจุใจ ในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์นี้ ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2556 นี้ ณ ชาเลนเจอร์ ฮอล์ บูธ C5 ในงานนี้ตนคาดว่าจะทำยอดขายไม่น้อยกว่า 300 คัน ทั้งนี้ตนได้จัดเตรียมแคมเปญพิเศษ ผ่อน 0%สูงสุดถึง10เดือนกับCitibank และ Aeon พร้อมพบกับพริตตี้สาวจะมาแจกรางวัลและของที่ระลึกหลากหลายอย่างจุใจตลอดงาน

Suzuki อวด MPV 3 แถว 7 ที่นั่ง “ALL NEW SUZUKI ERTIGA” มอบสิทธิพิเศษในงานมอเตอร์โชว์ 2556 คาดยอดจองรวมทะลุ 2,000 คัน


กรุงเทพฯ – 26 มีนาคม 2556 – บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขอบคุณลูกค้าชาวไทย หลังยอดขายปีที่แล้วพุ่ง 255% อยู่ที่ 24,680 คัน ขณะที่ยอดจองรวม ณ 20 มีนาคม ปีนี้ แตะ 47,000 คัน ประกาศเร่งกำลังการผลิตให้ลูกค้าได้รับรถเร็วที่สุด ล่าสุด ส่ง “ALL NEW SUZUKI ERTIGA” MPV สายพันธุ์ใหม่ 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่มาพร้อม 3 จุดเด่น ทรงตัวดีเยี่ยม สะดวกสบาย เพิ่มพื้นที่ใช้งานอเนกประสงค์ ราคา เริ่มต้นที่ 554,000 บาท ตัวท็อป 689,000 บาท พร้อมอัดแคมเปญพิเศษอวดโฉมในงานมอเตอร์โชว์ 2556 ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม – 7 เมษายน 2556 ตั้งเป้ายอดจองในวันงานมอเตอร์โชว์ทุกรุ่น 2,000 คัน ดันยอดขายทั้งปี 60,000 คัน
มร. ทาคายูคิ ซูกิยามา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ก่อนอื่น ผมอยากจะขอใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณแก่ลูกค้าของเราที่ให้การสนับสนุนมา ด้วยดีในตลอดปี 2555 ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับปี 2554 แล้ว รถยนต์ซูซูกิมีอัตราเติบโตสูงถึง 255% ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่สูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบใน 10 อันดับแรกของกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นเกียรติสำหรับทางเราเป็นอย่างยิ่งที่ผู้คนให้ความสนใจและรู้สึก ตื่นเต้นไปกับรถยนต์ซูซูกิ และในปี 2556 นี้ ทางเราได้ตั้งเป้าอัตราเติบโตไว้มากกว่า 200% ด้วยการจำหน่ายและส่งมอบรถยนต์ซูซูกิ 60,000 คัน ให้กับผู้บริโภคผ่านโชว์รูมของเราที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศ
เพื่อให้ถึงเป้าหมายนี้ ทางเราได้เปิดตัวรถยนต์ ALL NEW SUZUKI ERTIGA เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภคที่กำลังค้นหาไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ให้กับครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราอยากนำเสนอรถยนต์รุ่นนี้ให้กับคุณพ่อรุ่นใหม่ผู้ซึ่งเป็นไอดอลและเป็นแบบ อย่างให้กับลูกๆ คุณพ่อผู้พร้อมจะนำทางลูกๆ ไปสู่อนาคตที่สดใสกว่า และคุณพ่อผู้พร้อมจะดูแลครอบครัวของเขาด้วยความมั่นใจ และเพื่อที่จะสื่อสารความคิดดังกล่าวนี้ ทางเราได้เลือกให้คุณจ็อบ-นิธิ สมุทรโคจรและลูกชาย เป็นพรีเซนเตอร์ให้กับรถยนต์ ALL NEW SUZUKI ERTIGA โดยในระหว่างการถ่ายทำโฆษณาโทรทัศน์ชุดนี้ ทางเราเองก็ประทับใจ ในบทบาทหน้าที่ของคุณจ็อบในฐานะคุณพ่อที่คอยชี้แนะแนวทางให้กับลูกชายเขา อยู่เสมอ และผมก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ALL NEW SUZUKI ERTIGA คันนี้จะช่วยให้คุณพ่อรุ่นใหม่สามารถนำทางให้กับลูกๆ ของเขาได้เช่นเดียวกับคุณจ็อบ
สำหรับ SUZUKI SWIFT นั้น หลังจากที่เราได้เริ่มทำการผลิตรถยนต์ SUZUKI SWIFT ที่โรงงานใหม่ในจังหวัดระยอง ทางเราได้มียอดจองแล้วกว่า 47,000 คัน และได้ส่งมอบรถไปแล้วทั้งสิ้นกว่า 24,000 คัน โดย SUZUKI SWIFT นั้นได้รับการยอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยจากดีไซน์ที่สวยงามโดดเด่น สมรรถนะการขับขี่อันเป็นเยี่ยมจากเครื่องยนต์รุ่นล่าสุดของเรา ความสบายในการโดยสาร และการประหยัดน้ำมันที่เป็นเลิศ ทางซูซูกิได้เพิ่มกำลังการผลิตเพื่อให้การส่งมอบ SUZUKI SWIFT เป็นไปอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อเป็นทางเลือกให้กับทุกคนที่สนใจรถของเราโดยไม่ต้องกังวลว่าจะต้องรอรถ นาน
นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดรถยนต์ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์อีโคคาร์และคอมแพ็คคาร์มีการขยายตัวขึ้น เนื่องจากมีการเปิดตัวพร้อมๆ กันของรถยนต์ในกลุ่มนี้หลายรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีโคคาร์และคอมแพ็คคาร์รุ่นใหม่ๆ รวมถึง SUZUKI SWIFT ทั้งรุ่น CVT และ MT ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี มีการเติบโตสูงขึ้นถึง 200% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมียอดจองกว่า 47,000 คัน ณ ปัจจุบัน
สำหรับปีนี้ การแข่งขันน่าจะเข้มข้นขึ้น เนื่องจากมีรถรุ่นใหม่ๆ จากหลายค่ายเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคในกลุ่มครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวขนาดเล็กมีความต้องการที่ชัดเจน มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของไลฟ์สไตล์ สมาชิกในครอบครัวต้องการทำกิจกรรมร่วมกันมากกว่าแต่ก่อน อย่างในวันทำงานพ่อต้องไปส่งลูกที่โรงเรียนแล้วจึงไปทำงาน ส่วนในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ สมาชิกในครอบครัวก็จะชอบออกเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด ทำกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ร่วมกัน เป็นต้น จึงเป็นที่มาของความต้องการรถยนต์อเนกประสงค์ที่มีขนาดกระทัดรัด ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย ประหยัด คุ้มค่าในราคาที่สมเหตุผล ซึ่งซูซูกิมองเห็นเป็นโอกาสที่จะตอบโจทย์ความต้องการนี้ จึงได้เปิดตัว ALL NEW SUZUKI ERTIGA เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนสมัยใหม่ โดยเฉพาะคุณพ่อ ผู้นำครอบครัวที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการจะนำพาลูกน้อยไปสู่อนาคตที่ดี
นอกจากนี้ ALL NEW SUZUKI ERTIGA ยังได้รับการออกแบบให้สะดวกสบายอย่างมีสไตล์ มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร แตกต่างด้วย 3 ความโดดเด่น การควบคุมการขับขี่และการทรงตัวดีเยี่ยมด้วยโครงสร้างตัวถังพร้อมระบบรองรับ ใหม่ (New Platform) ฐานล้อกว้างและมีการเพิ่มความยาวฐานล้อ นอกจากนี้ยังนั่งสบายด้วยเบาะที่ออกแบบเป็นพิเศษทำจากวัสดุคุณภาพสูง และเพิ่มพื้นที่การใช้งานอเนกประสงค์ รองรับการใช้งานตามจำนวนผู้โดยสาร 7 คน หรือจำนวนสัมภาระ สามารถปรับการใช้งานได้หลากหลาย ซึ่งเป็นที่สุดแห่งการดีไซน์ เจาะกลุ่มครอบครัวคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
ราคาจำหน่าย รถยนต์ ALL NEW SUZUKI ERTIGA (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
• ALL NEW SUZUKI ERTIGA รุ่นเกียร์ธรรมดา MT เกรด GA ราคา 554,000 บาท (เริ่มจำหน่าย ตุลาคม 2556)
• ALL NEW SUZUKI ERTIGA รุ่นเกียร์อัตโนมัติ AT เกรด GL ราคา 639,000 บาท
• ALL NEW SUZUKI ERTIGA รุ่นเกียร์อัตโนมัติ AT เกรด GX ราคา 689,000 บาท
หมายเหตุ: สีขาวเพิร์ล ไวท์ (ZPJ) เพิ่ม 5,000 บาท
นอกเหนือไปจากนี้ ทางเรายังได้มีรถยนต์ที่พร้อมจะสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภครุ่นอื่นๆ ที่จัดแสดงอยู่ ณ ที่นี้ เช่น SUZUKI SWIFT, SUZUKI SX4 CROSSOVER และ SUZUKI CARRY
ด้านงานบริการ ซูซูกิได้ปรับโฉมและเร่งขยายโชว์รูม-ศูนย์บริการมาตรฐาน เพื่อรองรับงานบริการก่อนและหลังการขาย พร้อมบริการอะไหล่แท้ราคามาตรฐาน และชุดตกแต่งแท้คุณภาพสูง ดีไซน์โดดเด่นจากซูซูกิ โดยจะเพิ่มบริการหลังการขายเพื่อรองรับปริมาณรถในตลาดที่มีมากขึ้น จากปีที่แล้วมีศูนย์บริการประมาณ 66 แห่ง จะเพิ่มเป็น 100 แห่งเร็วๆ นี้ โดยจะฝึกอบรมพนักงานทั้งในส่วนช่างผู้เชี่ยวชาญและพนักงานฝ่ายต่างๆ ให้พร้อมรองรับบริการลูกค้าเต็มที่ ทั้งนี้ บริษัทจะเน้นในเรื่องการผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพ และส่งมอบให้ลูกค้าได้รวดเร็วเป็นหลัก
ด้วยอัตราการเติบโตของรถยนต์ซูซูกิที่พุ่งทะยานขึ้นเป็นประวัติการณ์ใน ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซูซูกิคาดการณ์ยอดจำหน่าย 60,000 คัน ภายในสิ้นปีนี้ เป็น SUZUKI SWIFT ประมาณ 41,000 คัน SUZUKI CARRY รถกระบะอเนกประสงค์ 13,000 คัน และ รถยนต์อเนกประสงค์ ALL NEW SUZUKI ERTIGA อีก 6,000 คัน ส่วนยอดขายรวมในงานมอเตอร์โชว์ครั้งนี้ ประมาณการณ์ไว้ที่ 2,000 คัน ซึ่งซูซูกิขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจและสนับสนุนซูซูกิ ด้วยดีตลอดมา
โปรโมชั่นพิเศษทั่วประเทศช่วงมอเตอร์มอเตอร์โชว์ 2556
• SUZUKI SX4
- บริการช่วยเหลือฉุกเฉินฟรี 3 ปี
- ดอกเบี้ย 0% ผ่อนนาน 48 เดือน สำหรับลูกค้าที่เช่าซื้อผ่านสถาบันการเงินที่บริษัทกำหนด
- รับบัตรเติมน้ำมันมูลค่า 20,000 บาท พร้อมประกันชั้น 1 ฟรี สำหรับลูกค้าที่ซื้อเงินสด
• ALL NEW SUZUKI ERTIGA
- ลูกค้าที่จอง SUZUKI ERTIGA ภายในงานรับสิทธิ์ฟรีประกันภัยชั้น 1
(หมายเหตุ : บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า)
ทดลองขับรถยนต์คุณภาพจากซูซูกิ ตอบโจทย์ทุก Way of Life! พร้อมรับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ที่งาน “มอเตอร์โชว์ 2556” และโชว์รูมซูซูกิทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และโชว์รูมทั่วประเทศ โทรศัพท์พื้นฐาน โทรฟรี 1800-600-900 โทรศัพท์เคลื่อนที่ โทร 1401-600-900 www.suzuki.co.th, www.facebook.com/NewSuzukiSwift และ www.facebook.com/SuzukiErtigaThailand

Honda คว้า 4 รางวัล “คาร์ออฟเดอะเยียร์ 2013” สุดยอดยนตรกรรมแห่งปี 2556 ในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 34

กรุงเทพฯ- วันที่ 27 มีนาคม 2556 – บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด นำโดยนายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร (ที่ 2 จากขวา) รองประธานอาวุโส พร้อมด้วยมร. ฮิโรยูกิ ชิมิซึ (ขวา) กรรมการบริหาร

นายสมภพ ปฏิภานธาดา (ที่ 3 จากขวา) ผู้จัดการส่วนงานการตลาด และ นางศิริพร ศรีสุข (ซ้าย) ผู้จัดการ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ พร้อม 4 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2556 “คาร์ออฟเดอะเยียร์ 2013” (Car of The Year 2013) โดย ฮอนด้า ซีวิค 1.8 ลิตร ได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประเภทซีดาน เครื่องยนต์ไม่เกิน 1,800 ซีซี (Best Sedan Under 1,800 C.C.) ส่วน ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี คว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมประเภทซีดาน ก๊าซธรรมชาติ เครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี (Best Sedan Under 1,500 C.C. CNG) ขณะที่ ฮอนด้า แจ๊ซ ไฮบริด ได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมที่มีเทคโนโลยีล้ำสมัย ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี (Best Advanced Technology Under 1,500 C.C.) และ ฮอนด้า ซีอาร์-วี 2.4 ลิตร (ขับเคลื่อน 4 ล้อ) ได้รับรางวัลรถยนต์
ยอดเยี่ยมประเภทรถสปอร์ตอเนกประสงค์ เครื่องยนต์เบนซิน (Best SUV Petrol)
รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2556 ที่ฮอนด้าสามารถคว้ามาได้ถึง 4 รางวัล สะท้อนถึงความเป็น “ที่สุด” ของยนตรกรรมฮอนด้าที่ได้รับการยอมรับในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัยในการขับขี่ เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พร้อมกับการออกแบบที่ทันสมัยสะท้อนตัวตนของผู้ขับขี่ได้อย่างแท้จริง ทั้งยังคุ้มค่า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยรางวัลนี้เป็นผลการตัดสินจากสมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย สมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไทย และบริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่จัดกิจกรรมทดสอบรถยนต์เป็นประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาและยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

Chevrolet คว้า 6 รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี ที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์



• สร้างสถิติใหม่ในการคว้ารางวัล ‘รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี’ จากกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนลได้มากที่สุด
• เชฟโรเลต ครูซ ผงาดคว้ารางวัลสามปีซ้อน
• เชฟโรเลต โคโลราโด 2.5 ลิตร และ 2.8 ลิตร คว้ารางวัลสองปีติดต่อกันในแขนงรถกระบะขับเคลื่อนสี่ล้อ เครื่องยนต์ต่ำกว่า 2,500 ซีซียอดเยี่ยม และรถกระบะยกสูง เครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,200 ซีซียอดเยี่ยมตามลำดับ
กรุงเทพฯ – เชฟโรเลต สร้างสถิติใหม่ คว้าหกรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ มากที่สุดนับตั้งแต่มีการมอบรางวัลประจำปี
นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่รถซีดาน เชฟโรเลต ครูซ และรถกระบะ เชฟโรเลต โคโลราโด ได้รับรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีในฐานะรถทีดีที่สุดในระดับเดียวกัน ขณะที่โซนิค แฮทช์แบ็ก เทรลเบลเซอร์ และโวลต์ รถพลังงานไฟฟ้าก็ได้รับการยกย่องให้เป็นรถยอดเยี่ยมแห่งปีเช่นกัน
การคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีถึงหกรางวัลในปีนี้ ถือเป็นการสร้างสถิติใหม่ของเชฟโรเลต หลังจากเคยคว้ารางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีได้ห้ารางวัลภายในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เมื่อปีที่แล้ว
“ด้วยการคว้ารถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีได้อย่างมากมายหลายปีติดต่อกัน เป็นบทพิสูจน์อีกครั้งว่า เชฟโรเลต ได้ผลิตและจำหน่ายยานยนต์ที่ดีที่สุดทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และใน ระดับโลก” มร. มาร์ติน แอพเฟล ประธานกรรมการ ประจำประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “ส่วนแบ่งการตลาดของเชฟโรเลต มีอัตราเติบโตในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง และรางวัลที่เราได้รับแสดงให้เห็นว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คุณภาพและความมุ่งมั่นที่เราใส่ไว้ในรถทุกคน ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ชื่อเสียงของเราและยกระดับความภักดีในแบรนด์ใน กลุ่มลูกค้าชาวไทยและในภูมิภาคอาเซียน”
รถกระบะโคโลราโด เป็นรถที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของเชฟโรเลต ประเทศไทย ในปี 2555 ด้วยตัวเลข 37,310 คัน เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 300 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2554 ส่วนแบ่งการตลาดของโคโลราโด เพิ่มขึ้นจาก 2.68 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2554 เป็น 6.28 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2555 ถือเป็นรถกระบะที่ไม่ใช่แบรนด์ญี่ปุ่นที่ขายดีที่สุดในตลาดเมืองไทย
เชฟโรเลต ครูซ คว้ารางวัลเป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยรุ่น 2.0 ลิตร ดีเซลเทอร์โบ คว้ารางวัล ‘รถซีดานเครื่องยนต์ดีเซลยอดเยี่ยม’ ได้เป็นปีที่สอง หลังจากในปี 2555 ครูซ สามารถคว้ารางวัลรถซีดานเครื่องยนต์ดีเซลยอดเยี่ยมและรถซีดานเครื่องยนต์ต่ำ กว่า 1,800 ซีซี ยอดเยี่ยมมาครองได้ พิสูจน์ให้เห็นว่ารถคอมแพ็กต์ซีดานคันนี้ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ขับขี่ที่ ต้องการสมรรถนะอันยอดเยี่ยมและมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสูงสุด
เชฟโรเลต โวลต์ ได้รับยกย่องให้เป็นรถที่มีเทคโนโลยียอดเยี่ยมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาก ที่สุด ซึ่งเป็นรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแขนงใหม่ในประเทศไทย ทั้งนี้ โวลต์ ได้รับการยกย่องให้เป็นรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งอเมริกาเหนือในปี 2554 และรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งยุโรปในปี 2555 โวลต์ ถือเป็นรถพลังงานไฟฟ้าขยายระยะทางขับเคลื่อนที่ผลิตออกจำหน่ายอย่างแพร่หลาย รุ่นแรกของโลก
ขณะที่เชฟโรเลต โซนิค แฮทช์แบ็ก 1.4 ลิตร ได้รับรางวัลรถแฮทช์แบ็กยอดเยี่ยมแห่งปี ด้วยการออกแบบที่มีสไตล์ กรอบไฟหน้าและแผงมาตรวัดอันโฉบเฉี่ยวได้แรงบันดาลใจจากรถมอเตอร์ไบค์สมรรถนะ สูง โซนิค เป็นรถที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่มองหาความแตกต่าง
เทรลเบลเซอร์ รถอเนกประสงค์เอสยูวี เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร รับรางวัลรถพีพีวี เครื่องยนต์ดีเซล ขับเคลื่อนสี่ล้อยอดเยี่ยม ด้วยความเพียบพร้อมทั้งช่วงล่างอิสระสี่ล้อ และเป็นรถรุ่นเดียวในเซกเมนท์ที่ใช้ดิสก์เบรกหลัง เทรลเบลเซอร์ จึงมีสมรรถนะการขับขี่และควบคุมที่น่าประทับใจ นอกจากนี้ ยังมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นในแบบ ‘ลุยไปได้ทุกที่’
รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีซึ่งจัดโดยกรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้จัดขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคารที่ 26 มีนาคม ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ชาลเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี สำหรับรถยนต์ที่เข้าร่วมประกวดจะผ่านการคัดเลือกโดยผู้เชี่ยวชาญและผู้นำใน อุตสาหกรรมยานยนต์รวม 60 คน โดยให้คะแนนในด้านการออกแบบ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย ความประหยัดเชื้อเพิง สมรรถนะ การควบคุม ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ความพึงพอใจของลูกค้า และมูลค่าของตัวรถ

2014 Mercedes-Benz CLA 45 AMG สปอร์ตซีดานรุ่นเล็กบุกงานนิวยอร์ก ออโต้โชว์

Mercedes-Benz เปิดตัวสปอร์ตซีดานพันธุ์แรง CLA 45 AMG สู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการที่งานนิวยอร์ก ออโต้โชว์ 2013 



อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ CLA 45 AMG รุ่นล่าสุดนี้ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับ A45 AMG ขนาด 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จ ให้พละกำลังที่ 360 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ภายใน 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดด้วยระบบอิเลกทรอนิกไว้ที่ 250 กม/ชม.
เครื่องยนต์อันทรงพลังดังกล่าวส่งกำลังด้วยระบบเกียร์ดูอัลคลัตช์ AMG SPEEDSHIFT DCT 7 สปีดซึ่งมาพร้อมโหมด Momentary M เอื้อให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้เองแบบเกียร์ธรรมดาด้วยการกดแป้น paddle shift โดยไม่ต้องละมือจากพวงมาลัย
นอกจากนี้ยังมีโหมดสปอร์ต “S” และโหมดประหยัดน้ำมัน “C” หรือ controlled efficiency ซึ่งจะเปิดการทำงานฟังก์ชั่นสตาร์ทและดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ สำหรับอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยของ CLA 45 AMG อยู่ที่ 14.4 กม./ลิตร
ไฮไลท์อื่นๆยังรวมถึงช่วงล่างอิสระแบบสปอร์ตของ AMG ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP แบบสามระดับ พร้อมระบบช่วยขับขี่ในโค้ง Curve Dynamic Assist ล้ออัลลอยใช้ขนาด 18 นิ้ว รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับ A45 AMG แต่ทาง Mercedes-Benz ระบุว่าสไตล์อันโฉบเฉี่ยวอย่างที่เห็นนั้นถ่ายทอดมาจากรุ่นใหญ่อย่าง CLS 63 AMG
2014 Mercedes-Benz CLA 45 AMG มีกำหนดการออกจำหน่ายในโชว์รูมประเทศเยอรมนีตั้งแต่เดือนกรกฎาคมนี้ ค่าตัวเริ่มต้นที่ 56,078 ยูโร ขณะที่ชาติยุโรปอื่นๆจะได้จับจองกันในเดือนกันยายน สำหรับลูกค้าชาวอเมริกันจะได้เป็นเจ้าของกันตั้งแต่กลางปีนี้เป็นต้นไป

เผยโฉม Subaru WRX รถต้นแบบหน้าตาโหด เตรียมพัฒนาเป็น WRX เจนเนอเรชั่นต่อไป

ก่อนหน้านี้ Subaru ทำให้สื่อมวลชนและแฟนๆต้องเฝ้าติดตามด้วยการออกมาเปิดเผยว่าจะอวดโฉมรถต้น แบบสมรรถนะสูงรุ่นใหม่ล่าสุดที่งานนิวยอร์ก ออโต้โชว์ ล่าสุดได้รับการเฉลยแล้วว่าคือ WRX Concept รถซีดานต้นแบบที่จะถูกพัฒนาเป็น WRX เจนเนอเรชั่นต่อไปในอนาคต 


รูปลักษณ์ค่อนข้างแตกต่างจาก Impreza ด้วยกระจังหน้าที่มีขนาดใหญ่และดุดัน กรอบไฟหน้าทรงโฉบเฉี่ยว ฝากระโปรงแบบมีสกู๊ปดักลมที่บ่งบอกว่าเครื่องยนต์พ่วงเทอร์โบชาร์จอย่างแน่ นอน ทาง Subaru ไม่ได้เปิดเผยมิติตัวถังแต่คาดว่าจะกว้างกว่าและเตี้ยกว่ารุ่นปัจจุบัน
แผงหลังคาทำจากคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อรีดน้ำหนักตัว ขณะที่ด้านท้ายรถติดตั้งสปอยเลอร์ทรงสวย ท่อไอเสียเป็นหนึ่งในไฮไลท์เพราะมีถึงสี่ชุดและทำสีเหลืองสว่างตัดสายตากับ ความโหดของแผงดิฟฟิวเซอร์รีดอากาศสีดำขนาดใหญ่
สีเหลืองยังถูกนำมาตกแต่งคาลิปเปอร์เบรกและตรา WRX เข้ากันอย่างลงตัวกับตัวถังสีน้ำเงิน WR Blue Pearl III ล้ออัลลอยใช้ของแบรนด์ BBS ขนาด 20 นิ้ว พร้อมยางสมรรถนะสูงของ Dunlop อย่างไรก็ตาม ค่ายรถดาวลูกไก่จากญี่ปุ่นยังไม่เปิดเผยข้อมูลใต้ฝากระโปรงแต่อย่างใด

ดูคาติไทยแลนด์ เปิดตัวรถรุ่นใหม่ ตระกูล Multistrada ครั้งแรกในงานมอร์เตอร์โชว์

ดูคาติไทยแลนด์มาแรงฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุด จากตระกูล Multistrada “ดูคาติ มัลติ-สตราด้า 1200 ในงานมอเตอร์โชว์ 2556 ปฎิวัติแนวคิดทางนวัตกรรม ชูจุดเด่นเทคโนโลยี 4 bikes in 1 เลือกโหมดการขับขี่ได้ พร้อมออกแคมเปญดาว์นต่ำ 15 % และเงื่อนไขสุดพิเศษเฉพาะในงาน
นายอภิชาติ ลีนุตพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดูคาทิสติ จำกัด เปิดเผยว่า ดูคาติไทยแลนด์ฉลองครบรอบ 10 ปี เปิดตัวรถรุ่นใหม่ “Ducati Multistrada 1200” ใหม่ล่าสุดจากตระกูล Multistrada ทัวริ่งไบค์ที่เคยปฏิวัติแนวคิดทางนวัตกรรมทางเทคโนโลยีการออกแบบจนได้รับ รางวัลมาแล้วมากมาย พร้อมจัดแคมเปญสุดพิเศษดาว์นเริ่มต้น 15% หรือ 119,000 บาท ในงานมหกรรมยานยนต์ “มอเตอร์โชว์ 2556 ครั้งที่ 34” (The 34th Bangkok International MOTOR SHOW) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของบิ๊กไบค์ในฝันได้สะดวกขึ้น พร้อมจัดแคมเปญพิเศษเฉพาะรุ่นอีกมากมาย
โดยในปีนี้ Multistrada ยังคงเอกลักษณ์ “New Granturismo” ด้วยเทคโนโลยีใหม่ระบบ “Ducati Skyhook Suspension ” หรือ ระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่ปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบกันสะเทือนไปตาม สภาพถนนหลากหลายแบบ ช่วยให้การเดินทางของคุณมีอิสระ และมีสุทรียภาพตามแรงบันดาลใจด้วยพิสัยการเดินทางใหม่, การปรับปรุงระบบการทำงานต่างๆ ได้ตามใจผู้ขับขี่, และสอดแทรกคุณลักษณะใหม่ๆจากเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น เครื่องยนต์แบบ Testastretta 11° DS ใหม่ ที่ได้รับการพัฒนามาถึง Generation ที่ 2, ระบบเบรก ABS ใหม่จาก Bosch รุ่น 9ME ทำงานร่วมกันอย่างสมบรูณ์กับโหมดการขับขี่ที่ผู้ขับขี่เลือก และสามารถปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ ได้ตามใจผู้ขับขี่, ไฟหน้าใหม่แบบ LED (ไฟต่ำ) ใหม่ให้ความสว่างสดใสและปลอดภัยทุกเส้นทาง
รวมทั้งเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำ เช่น “4 bikes in 1” ที่สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ 4 โหมดการใช้งาน คือ Sport, Touring, Urban และ Enduro ทำให้ Multistrada มีลักษณะของรถ 4 แบบภายในคันเดียวโดยสั่งงานได้จากปลายนิ้วของผู้ขับขี่ได้ทันทีตามต้องการ ในระหว่างการขับขี่ซึ่งแต่ละโหมด ที่ผู้ขับขี่เลือก หลังจากนั้นระบบอิเล็กทรอนิกส์จะทำการปรับตั้งช๊อกอัพ การตอบสนองจากเครื่องยนต์ แรงบิด รวมไปถึงระบบความปลอดภัยอย่าง DTC ที่ป้องกันการหมุนฟรีของล้อ ระบบเบรก ABS และระบบ Ducati Skyhook Suspension ที่ให้ความแม่นยำและเหมาะสมกับทุกสภาพถนน
ด้วยพละกำลังล่าสุดจากเครื่องยนต์ถึง 150 แรงม้าจากเครื่อง Testastretta 11° DS ควบคุมโดยตรงผ่านข้อมือของผู้ขับขี่ ด้วยคันเร่งอิเลคทรอนิก Ride-By-Wire ที่ให้ความแม่นยำสูงสุด พร้อมกับน้ำหนักเปล่าที่ลดลงเหลือ 194 กิโลกรัม (สำหรับรุ่น Multistrada 1200 S Pikes Peak) ในด้านความปลอดภัย Multistrada ยังมีระบบ Ducati Safety Pack (DSP) จากแนวคิดประสานระบบความปลอดภัยบนตัวรถ ให้ทำงานอย่างสัมพันธ์กันของ ระบบเบรก ABS กับระบบป้องกันล้อหมุนฟรี DTC ที่ปรับแต่งได้ถึง 8 ระดับ
นอกจากคุณสมบัติต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้น คุณยังสามารถเลือกรุ่น Multistrada 1200 ได้ตรงใจคุณมากขึ้น ด้วยรุ่นต่างๆ ดังนี้
1. Multistrada 1200 ABS ที่ยังครบเครื่องระบบ DTC, ระบบ ABS ใหม่ คันเร่งแบบ Ride-By-Wire ในราคาพิเศษสุดเฉพาะช่วงเปิดตัวในระหว่างงานมอเตอร์โชว์ราคา 838,000 บาท จากปกติ 858,000 บาท
2. Multistrada 1200 S Touring เพิ่มเติมอุปกรณ์จากรุ่นพื้นฐานประกอบด้วยระบบ DSS, กระเป๋าสัมภาระด้านข้าง, ขาตั้งคู่และกริปปลอกแฮนด์ที่ปรับอุณหภูมิได้ ในราคาพิเศษสุดเฉพาะช่วงเปิดตัวในระหว่างงานมอเตร์โชว์นราคา 998,000 บาท จากปกติ 1,029,000 บาท
3. Multistrada 1200 S Pikes Peak เวอร์ชั่นฉลองแชมป์ 3 ปีซ้อนในการแข่งขันเดิร์ทแทรก (Dirt track) ขึ้นยอดเขา Pikes Peak สำหรับนักขับขี่คอสปอร์ต โดยการตกแต่งโทนสีจำลองลวดลายรถแข่งของทีม Ducati ในราคาพิเศษสุดเฉพาะช่วงเปิดตัวในระหว่างงานมอเตอร์โชว์ 1,099,990 บาท จากปกติ 1,169,000 บาท
นายอภิชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับแคมเปญพิเศษเฉพาะรุ่น ประกอบด้วย
1. ดูคาติรุ่น Monster 795 ABS ซึ่งถือเป็นรถที่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากตลาด โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบชีวิตอิสระแนวสปอร์ต Naked ในราคา 439,500 บาท โดยเริ่มต้นดาว์นเพียง 65,925 บาท และสำหรับลูกค้าที่จองในงานมอเตอร์โชว์ จะรับสิทธิพิเศษในการซื้อDucati Maintenance Package สำหรับการตรวจเช็คสภาพและการซ่อมบำรุงจนถึงระยะ 12,000 กิโลเมตร ในราคา 9,900 บาท จากปกติ 18,900 บาท
2. ดูคาติรุ่น Diavel ABS Black ซึ่งเป็นรถจักรยานยนต์แบบสปอร์ตครูสเซอร์ ขนาด 1,200 ซีซี ด้วยเงื่อนไขพิเศษดาว์น 139,000 บาท รวมประกันภัยชั้น 1 และจดทะเบียน ผ่อน 13,900 บาท จำนวน 48 เดือน และงวดสุดท้าย 239,000 บาท
3. ดูคาติรุ่น 848EVO หรือรถจักรยานยนต์ Superbike ที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว ด้วยเงื่อนไขพิเศษ ดาว์น 178,480 บาท รวมประกันภัยชั้น 1 และจดทะเบียน ผ่อน 13,280 บาท จำนวน 48 งวด และงวดสุดท้าย 284,800 บาท
4. ดูคาติรุ่น Multistrada 1200 ABS ที่นอกเหนือจากราคาพิเศษช่วงเปิดตัว 838,000 บาท ดูคาติไทยแลนด์ยังมอบเงื่อนไขพิเศษ ด้วยเงินดาว์น 119,000 บาท รวมประกันภัยชั้น 1 และจดทะเบียน โดยผ่อน 13,900 บาท จำนวน 48 งวด และงวดสุดท้าย 225,000 บาท
นอกจากนี้ ในงานมหกรรมยานยนต์มอเตอร์โชว์ครั้งนี้ บูธดูคาติจะมี Ducati Apparel Outlet ซึ่งเป็นการนำเสื้อผ้า หมวกกันน๊อค และอุปกรณ์ต่างๆ ของดูคาติมาจำหน่ายในข้อเสนอพิเศษส่วนลดสูงสุด 50%
ทั้งนี้สำหรับยุทธศาสตร์การตลาดปี 2556 ดูคาติไทยแลนด์ มุ่งเน้นที่บริการหลังการขายเป็นหลัก และตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า โดยบริษัทมีแผนเปิดศูนย์บริการและโชว์รูม เพื่อขยายเครือข่ายให้สามารถรองรับบริการรถเข้าซ่อมได้กว่า 100 คัน ต่อวัน ครอบคลุมทุกหัวเมืองสำคัญทั้งประเทศ
โดยปัจจุบันที่เปิดทำการแล้วจำนวน 8 แห่ง ประกอบด้วย ทองหล่อ พระราม 3 สยามพารากอน พัทยา อุดรธานี โคราช ภูเก็ต และเชียงใหม่ และมีแผนเปิดใหม่อีก 4 แห่ง รวมเป็น 12 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 2 แห่ง คือ ถนนวิภาวดี และ ถนนราชพฤกษ์ สำหรับต่างจังหวัด 2 แห่ง คือ อ.หัวหิน จ.เพชรบุรี (หัวหิน) และ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยเฉพาะถนนวิภาวดีจะเป็นโชว์รูมครบวงจรที่มีพื้นที่กว่า 5,000 ตร. ม. ซึ่งจะถือเป็นโชว์รูมดูคาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย
นอกจากนี้ยังเพิ่มบริการและสิทธิพิเศษต่างๆ หลังการขายให้แก่ลูกค้ามากมาย อาทิ Ducati Maintenance Package ซึ่งจะทำให้การตรวจเช็คสภาพและการซ่อมบำรุงตามระยะที่กำหนดถูกลงอย่างมาก Ducati Roadside Assistance 24 Hours ซึ่งเป็นบริการซ่อมแซมเบื้องต้นข้างทาง หรือการยกรถกลับศูนย์บริการดูคาติโดยไม่จำกัดระยะทาง เป็นต้น รวมทั้งยังเร่งพัฒนาบุคลากร โดยจัดอบรมช่างเทคนิค ดูคาติ ไทยแลนด์ร่วมกับดูคาติ อิตาลีตลอดทั้งปี เพื่อให้ได้มาตรฐานการบริการ Premium สูงสุด
สำหรับจุดเด่นของดูคาติที่แตกต่างจากบริษัทอื่น คือถือเป็นผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่เพียงบริษัทเดียวในยุโรปที่ชนะการ แข่งขันระดับโลกมากที่สุด และรถจักรยานยนต์ดูคาติทุกคันล้วนพัฒนามาจากนวัตกรรมในสนามแข่ง ผลิตขึ้นด้วยความประณีต รูปลักษณ์และดีไซน์ที่สวยงานในไสตล์อิตาเลี่ยน จึงทำให้ดูคาติเป็นจักรยานยนต์ที่นิยมทั่วโลก โดยสามารถตอบโจทย์การใช้ไลฟ์ไสตล์ของลูกค้าได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่เพื่อท่องเที่ยว การขับขี่อย่างคล่องตัวเพื่อชีวิตในเมือง หรือการใช้ความเร็วแนวสปอร์ทในสนามแข่งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยี

2013 Mazda6 เหนือชั้นที่สุดในรถระดับมิดไซส์ซีดาน

เราได้รับเชิญจากทาง Mazda ให้ร่วมเดินทางทริปทดสอบขับสั้นๆ แบบเช้าเย็นกลับ ขับไปทานอาหารกลางวันที่เบอร์จาย่า ฮิลล์ (Berjaya Hills) ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไม่ไกลนัก แต่นั่นไม่น่าสนใจเท่ากับการได้นั่งหลังพวงมาลัยของ All-New 2013 Mazda6
Mazda6 เจนเนอเรชั่นใหม่สองโมเดลจอดรอให้เราทดสอบ มีทั้งรุ่นเครื่องยนต์ SKYACTIV-G 2.0 ลิตรและ SKYACTIV-G 2.5 ลิตร ทั้งสองเวอร์ชั่นส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ SKYACTIV-Drive แบบ 6 สปีด แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์การออกแบบ KODO – Soul of Motion
KODO – Soul of Motion จิตวิญญาณแห่งความเคลื่อนไหว
กระจังหน้าของ Mazda6 ได้รับการออกแบบให้โลโก้ Mazda มีความโดดเด่นอย่างมาก ก่อนจะนำสายตาไปถึงกรอบไฟหน้าพาดผ่านไปยังด้านข้างจนถึงบั้นท้ายรถ คุณจะรู้สึกประทับใจในทันทีเหมือนกับได้อยู่เคียงข้างกับดาราสาวสวยสักคน Mazda6 ไม่เพียงจะมีรูปลักษณ์ที่สะดุดตาเท่านั้น แต่ยังมีความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์อีกด้วย มอบสมรรถนะการขับขี่ที่เหนือชั้นและประหยัดน้ำมันสูงสุด
เป็นทริปที่สนุกอีกทริปหนึ่งเพราะเราได้ขับ Mazda6 เดินทางออกนอกเมืองในช่วงเช้าและกลับเข้ามาในช่วงบ่าย รถมิดไซส์ซีดานคันนี้ไม่ได้มีดีแค่รูปลักษณ์ แต่ยังมีความแข็งแกร่ง สวยงาม เซ็กซี่และบึกบึนตามที่ Mazda โปรโมทไว้ทุกประการ
เครื่องยนต์ SKYACTIV-G 2.0 ลิตรและ SKYACTIV-G 2.5 ลิตร
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/03/2013-mazda-6-test-drive-85.jpg
อย่างที่เรียนไว้ตั้งแต่ต้น เรามีเครื่องยนต์สองบล็อกให้ลองขับ ทั้งสองรุ่นใช้ระบบเกียร์เหมือนกันและมีการออกแบบภายใต้ปรัชญาเดียว นั่นคือ ความสนุกสนานในการขับขี่
ในเบื้องต้น เราด่วนสรุปก่อนเลยว่ารถทั้งสองคันมีพละกำลังน้อยไปสักหน่อยและควรจะติดตั้ง ระบบอัดอากาศอย่างเทอร์โบสักลูกน่าจะดีกว่านี้ แต่เมื่อได้ทดสอบขับก็พบว่าอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ของรถทั้งสองคันอยู่ที่ 10.5 วินาทีสำหรับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร และ 8.1 วินาทีสำหรับเครื่อง 2.5 ลิตร ไม่ได้เชื่องช้าเลย ในทางตรงกันข้าม ทั้งสองรุ่นให้อารมณ์ขับขี่ที่สนุกมาก
การขับรถที่มีพละกำลังสูงนั้นอาจเป็นเรื่องน่าหวาดเสียวหากคุณไม่รู้วิธี ควบคุมมัน เราพบบ่อยครั้งว่ารถที่สามารถออกตัวจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลาเพียง 7 วินาที แต่เมื่อเข้าโค้งก็จะต้องเผชิญแต่อาการโอเวอร์สตียร์และอันเดอร์สเตียร์อยู่ ตลอดเวลา ดังนั้นการมีเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังพอเหมาะให้ใช้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมจึง เป็นการขับขี่ที่เร้าใจกว่า ดังเช่น Mazda6 คันนี้
ขณะขับขี่ เราต้องตระหนักด้วยว่า Mazda6 ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับสื่อมวลชนสายยานยนต์ที่ส่วนใหญ่เท้าหนักเกินมาตรฐาน แต่ได้รับการพัฒนามาเพื่อลูกค้าทั่วไปที่รักในความคล่องแคล่ว การขับขี่ที่สนุกพอตัวและความเพลิดเพลินตลอดการเดินทาง ซึ่งเรายืนยันว่า คุณจะได้สัมผัสทุกมิติที่กล่าวมาอย่างครบถ้วนในรถคันนี้
ระบบส่งกำลัง SKYACTIV-Drive เปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลไร้รอยต่อ
อีกหนึ่งความโดดเด่นที่พบได้ใน Mazda6 คือระบบเกียร์ SKYACTIV-Drive ที่ปรับเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวลมาก ตอบสนองได้ตามความต้องการทุกเวลา อัตราเร่งมาอย่างทันใจด้วยแป้นเหยียบที่มีน้ำหนักพอเหมาะ เพียงแค่คุณกดคันเร่งมากหน่อย เกียร์ก็จะตอบสนองอย่างทันท่วงที
หากยังเลือกไม่ได้ว่าจะใช้เครื่องยนต์บล็อกใด (ระหว่าง 2.0 ลิตรหรือ 2.5 ลิตร) ทั้งสองรุ่นมีข้อดีและข้อด้อยต่างกัน ขุมพลัง 2.5 ลิตรมีความว่องไวมากกว่า พร้อมอุปกรณ์ที่ครบครันยิ่งกว่าด้วย ทั้งซันรูฟ แป้น paddle shift, GPS, กุญแจ Keyless entry และอื่นๆ
แต่เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรนั้นมอบความสนุกในการขับขี่ได้อย่างเต็มที่ยิ่งกว่า เราเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเลือกรุ่นใดดี บางครั้งอาจต้องพิจารณาที่ราคา เพราะรุ่น 2.0 ลิตรและ 2.5 ลิตรมีค่าตัวแตกต่างกันถึง 30,000 ริงกิตมาเลเซีย (ราว 280,000 บาท) ที่อาจเป็นแปรสำคัญในการเลือกจับจอง
การออกแบบภายในและอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/03/2013-mazda-6-test-drive-49.jpg สามารถพูดได้เต็มปากว่าความโดดเด่นของ Mazda6 อยู่ที่การออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกและสมรรถนะการควบคุม ขณะที่ภายในห้องโดยสารมีไฮไลท์เพียงไม่กี่อย่างที่สามารถพูดถึงได้
แผงควบคุมบนแดชบอร์ดดูสะอาดตาและให้ภาพลักษณ์โมเดิร์น คุณภาพการประกอบอยู่ในขั้นยอดเยี่ยม สวิทช์ต่างๆใช้งานได้ถนัดมือ หน้าจอแสดงผล TFT ดูดีมีชาติตระกูล แต่มีขนาดเล็กเกินไปหน่อย เทียบกับสมาร์ทโฟนแล้วแทบจะไม่แตกต่างกันเลย
รุ่น 2.5 ลิตรมาพร้อมซันรูฟ (ดูเหมือนหน้าต่างเล็กๆมากกว่า) ระบบนำทาง GPS และเครื่องเสียง BOSE Sound System พร้อมลำโพง 11 ตัวซึ่งเป็นอ็อปชั่นที่ดีเลิศทีเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบเข้าออกห้องโดยสารโดยไม่ต้องใช้กุญแจและแป้นเปลี่ยน เกียร์ที่พวงมาลัยอีกด้วย
อ็อปชั่นที่เหลือที่พบได้ในรถ Mazda6 คือสิ่งพื้นฐานที่คุณพบเห็นได้ในรถระดับนี้ อย่างกล้องมองหลัง ระบบควบคุมปรับอากาศ ครูสคอนโทรล เซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำฝน เบาะที่นั่งหุ้มหนังปรับไฟฟ้า และอื่นๆ
ความปลอดภัยและอุปกรณ์ป้องกัน
นอกจากระบบช่วยการเปลี่ยนเลนและระบบ keyless entry แล้วซึ่งมีเฉพาะในเวอร์ชั่น 2.5 ลิตร ทั้งสองรุ่นมีฟีเจอร์ความปลอดภัยใกล้เคียงกัน คือถุงลมนิรภัยหกลูก กุญแจนิรภัย ระบบเบรก ABS ระบบออกตัวบนทางลาดชัน Hill Launch Assist ระบบกระจายแรงเบรก EBD และอื่นๆอีกมากมาย ถือว่าน่าประทับใจทีเดียวกับอุปกรณ์ความปลอดภัยที่ทาง Mazda ใส่มาให้
ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมระบบ i-stop ที่ช่วยดับเครื่องยนต์เมื่อหยุดรถ และสตาร์ทอีกครั้งเมื่อกดคันเร่ง ช่วยเพิ่มความประหยัดเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี
เทคโนโลยี i-ELOOP และ i-Stop ทำงานประสานกันอย่างอัจฉริยะ
เทคโนโลยีคืนกำลังขณะเบรกหรือ i-ELOOP ที่มีเฉพาะ Mazda6 รุ่น 2.5 ลิตรนั้นช่วยคุณประหยัดเงินในกระเป๋าได้มาก ระบบจะชาร์จกำลังคืนสู่แบตเตอรี่เมื่อคุณเหยียบแป้นเบรก (ใช้เวลาราว 7-10 วินาทีในการชาร์จเต็มกำลังไฟ) และป้อนกำลังไฟที่ได้นั้นสู่ระบบอิเลกทรอนิกเมื่อคุณหยุดรถด้วยระบบ i-Stop
เทคโนโลยี i-ELOOP และ i-Stop ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว ไอเดียนี้มุ่งเป้าหมายสำรองพลังงาน อาทิ เมื่อคุณหยุดรถที่สัญญาณไฟแดง รถรุ่นนี้จะเก็บสำรองพลังงานจากการเบรก ก่อนจะส่งพลังงานนั้นให้ตัวรถทำงานต่อเนื่องเพราะระบบ i-Stop ได้ดับเครื่องยนต์ลงไปแล้ว ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานได้ ถือเป็นผลงานที่ดีเยี่ยมของ Mazda เลยทีเดียว
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/03/2013-mazda-6-test-drive-80.jpg i-Activsense Package สำหรับรุ่น 2.5 ลิตร
หากคุณเลือกรุ่น 2.0 ลิตรก็จะไม่ได้ใช้แพ็คเกจ i-Activsense Package ที่มีเฉพาะรุ่น 2.5 ลิตรเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟหน้าปรับอัตโนมัติ Adaptive Front Lighting System ระบบตรวจสอบรถคันหลัง Rear Vehicle Monitoring ระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนเลน Lane Departure Warning ระบบควบคุมไฟสูง High Beam Control และระบบช่วยเบรก Smart City Brake System.
จากระบบทั้งหมดทั้งปวงข้างต้น สิ่งที่น่าพูดถึงมากที่สุดคือ Smart City Brake System (SCBS) และ Rear Vehicle Monitoring (RVM) โดยเฉพาะระบบแรกที่เราได้ลองใช้อย่างไม่ตั้งใจขณะขับทดสอบในเมือง เมื่อมีเด็กวิ่งตัดหน้ารถ ซึ่ง SCBS ช่วยเบรกได้อย่างทันท่วงที
หากขับขี่ด้วยความเร็วไม่เกิน 20 กม./ชม. และมีวัตถุขวางด้านหน้าอย่างฉับพลัน ระบบนี้จะช่วยเบรกโดยอัตโนมัติ ต้องยกความดีความชอบกับ Mazda6 ที่ช่วยให้ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ขณะที่ระบบ RVM นั้นจะช่วยตรวจจับรถที่อยู่รอบคันขณะขับขี่ โดยจะมีไฟเล็กๆคอยกระพริบเตือนเมื่อมีวัตถุอยู่ด้านข้างบริเวณมุมอับสายตา
แม้มีอุปกรณ์ครบครัน คำถามคือ “Mazda6 น่าขับมากเพียงใด”
คำตอบจากใจจริงของเราก็คือ “น่าขับมาก” เรารู้ดีว่าอุปกรณ์ต่างๆที่เราสาธยายมานั้นสามารถพบเห็นได้ในรถทั่วไป แต่ในรถรุ่นอื่นๆ เราอาจรู้สึกไม่แตกต่าง ซึ่งไม่ใช่กับ Mazda6 ที่เรารู้สึกว่าได้ใช้งานอุปกรณ์เหล่านั้นจริงๆ
Mazda มีความภาคภูมิใจที่ได้สร้างสรรค์ Mazda6 ให้เป็นยนตรกรรมที่ดีที่สุดในเซกเมนท์นี้ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี คุณอาจจะไม่ได้สัมผัสอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ระดับ 7 วินาที แต่สิ่งที่ได้รับคือพละกำลังที่เหมาะสมกับตัวรถและการเข้าโค้งที่เชื่องมือ
ความรู้สึกในการขับขี่เป็นปัจจัยสำคัญที่นักออกแบบคำนึงถึงอย่างมาก และผลลัพธ์ที่ได้ก็ตรงตามเป้าหมายของยักษ์ญี่ปุ่นเจ้านี้ ฟีดแบ็กของพวงมาลัยไฟฟ้าที่ได้รับนั้นดีเยี่ยม การเข้าโค้งแม่นยำ เกาะถนนเหนียวแน่น หากคุณเข้าโค้งด้วยความเร็วเกินไป ตัวคุณจะหลุดออกจากเบาะก่อนที่ยางจะสูญเสียความควบคุม
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เบาะควรจะได้รับการปรับปรุงเพื่อความโอบกระชับลำตัวที่ดีกว่านี้ มันลื่นเกินไป ไม่รองรับตัวของคุณได้ดีเท่าที่ควร เรียกว่าการเกาะถนนมีประสิทธิภาพมากเกินไปที่เบาะจะรองรับได้
การตอบสนองของพละกำลังถือว่าดีเช่นกัน มีให้ใช้อย่างทันท่วงทีทุกครั้งที่เหยียบคันเร่ง ตัวรถทะยานไปข้างหน้าเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในรถระดับนี้
เราได้สัมผัสความสนุกในการขับขี่ตลอดเส้นทางอันคดเคี้ยวขึ้นเขาเก็นติ้ง ไฮแลนด์ (Genting Highlands) ไปจนถึงเบอร์จาย่า ฮิลส์เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนจะเดินทางกลับเข้าเมือง
การออกแบบภายในไม่ถือว่าโดดเด่นเท่าใดนัก แต่ก็ใช้งานได้ดี ดูสะอาดตา อุปกรณ์ต่างๆของรุ่น 2.0 ลิตรไม่ดีเทียบเท่ารุ่น 2.5 ลิตร แต่ก็น่าพึงพอใจ
ตัวเลขและข้อมูลทางเทคนิคต่างๆที่อัดแน่นอยู่ใน Mazda6 แสดงให้เห็นว่ารถมิดไซส์ซีดานคันนี้เป็นผู้นำในเซกเมนท์ มันดูดีกว่า ขับดีกว่าและในภาพรวมเหนือกว่ารถรุ่นอื่น ดังนั้น Toyota Camry และ Honda Accord จักต้องระวังหลังไว้ให้ดีนับจากนี้
http://www.autospinn.com/wp-content/uploads//2013/03/2013-mazda-6-test-drive-75.jpg สเปก 2013 Mazda6
ราคา: 159,440 ริงกิตหรือราว 1,513,000 ล้านบาทในรุ่น 2.0 ลิตรและ 187,659 ริงกิตหรือราว 1,781,000 บาทสำหรับรุ่น 2.5 ลิตร
เครื่องยนต์: SKYACTIV-G 2.0 ลิตรและ SKYACTIV-G 2.5 ลิตร
ระบบส่งกำลัง: SKYACTIV-Drive อัตโนมัติ 6 สปีด
พละกำลังสูงสุด: 153 แรงม้า แรงบิด 200 นิวตันเมตรในรุ่น 2.0 ลิตร
185 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตรในรุ่น 2.5 ลิตร
อัตราบริโภคน้ำมัน: 17.5 กม./ลิตรในรุ่น 2.0 ลิตร และ 15.6 กม./ลิตรในรุ่น 2.5 ลิตร
พวงมาลัย: ผ่อนแรงไฟฟ้า Electronic Power-Assisted Steering
น้ำหนักรถ: 1393 กก.ในรุ่น 2.0 ลิตร และ 1444 กก.ในรุ่น 2.5 ลิตร