วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

Toyota อาจพลิกโฉมสไตล์ Prius เจนเนอเรชั่นต่อไปให้โฉบเฉี่ยวกว่าเดิม


Toyota อาจตัดสินใจพลิกโฉมรูปลักษณ์ของ Prius เจนเนอเรชั่นต่อไปให้มีความโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นชนิดแตกต่างจากรุ่นปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงเพื่อดึงดูดลูกค้าให้หันมาสนใจรถไฮบริดมากขึ้น โดยจะสลัดทิ้งตัวถังทรงลิ่มที่ใช้มาตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่สองหรือตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา

“เราตระหนักดีว่าลูกค้ามีความต้องการใช้รถสไตล์ใหม่ พวกเขาพร้อมแล้วที่จะสัมผัสกับ Prius ที่มีดีไซน์แบบใหม่ล่าสุด” Chris Hostetter รองประธานฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ของ Toyota America กล่าว “แต่กระนั้น Prius ใหม่จะยังคงใช้โครงสร้างที่คล้ายกับสองเจนเนอเรชั่นที่ผ่านมา”
การเปลี่ยนแปลงสไตล์ของ Prius อาจเป็นความสุ่มเสี่ยงครั้งใหญ่ของ Toyota เนื่องจากตัวถังทรงลิ่มนั้นกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญของรถไฮบริดของยักษ์ญี่ปุ่นรายนี้ไปแล้ว อีกทั้งยังมีส่วนในความสำเร็จด้านยอดขายอีกด้วย
ในช่วงเก้าเดือนแรกของปีนี้ Toyota ทำยอดขาย Prius ทุกเวอร์ชั่น (ทั้งรุ่นสแตนดาร์ด, Prius V, Prius C และ Prius ปลั๊กอินไฮบริด) มากกว่า 690,000 คันทั่วโลก ทุบสถิติยอดขายทั้งปีที่ดีที่สุดเมื่อปี 2010 ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 509,399 คัน
อย่างไรก็ตาม Toyota เชื่อว่ายอดขายจะเพิ่มมากขึ้นถ้า Prius มีรูปลักษณ์ที่น่าตื่นเต้นมากกว่านี้ ปัจจุบันยักษ์ญี่ปุ่นเบอร์หนึ่งของโลกกำลังพัฒนางานดีไซน์ของ Prius ใหม่ในขั้นตอน clay model หรือการปั้นโมเดลจำลอง สื่อหลายสำนักคาดการณ์ว่า Prius รุ่นใหม่ล่าสุดจะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง แต่ยังคงความลู่ลมตามหลักอากาศพลศาสตร์เพื่อความประหยัดน้ำมันเช่นเดิม
“เรามุ่งมั่นที่จะสร้าง Prius ที่แตกต่างและดีขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน” Hostetter กล่าว “ผมสามารถพูดได้ว่าเรากำลังมาถูกทางแล้ว มันน่าทึ่งมาก”
ข่าวรายงานด้วยว่า นโยบายการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของ Prius อย่างพลิกโฉมในครั้งนี้ถูกสั่งตรงมาจากประธานใหญ่ของ Toyota อย่าง Akio Toyoda ที่ต้องการยกระดับให้แบรนด์มีความน่าตื่นตาตื่นใจกว่าเดิมเพื่อดึงดูดลูกค้านอกเหนือจากกลุ่มที่ชอบใช้รถประหยัดพลังงานทั่วไป ไม่เพียงเท่านั้น ท่านประธานใหญ่ชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบการขับรถแข่งคนนี้ ยังเน้นนโยบายการเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ของรถไฮบริดและรถทุกรุ่นของ Toyota ให้ดียิ่งขึ้นด้วย
ไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า Prius เจนเนอเรชั่นใหม่จะเปิดตัวเมื่อใด แต่ Hostetter แย้มว่า “อีกเพียงปีกว่าๆเท่านั้น”

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น